วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

สมัคร สุนทรเวช เคยถูกลอบสังหารด้วยอาวุธสงคราม รอดหวุดหวิด

ค้นหาเรื่องเก่า ๆ มาเขียน ไปเจอข้อมูลเก่าของอดีตนายกรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวชเรื่องหนึ่ง ซึ่งทุกวันนี้ไม่เคยได้ยินใครกล่าวถึงอีกเลย แต่ก็เป็นเรื่องน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง เพราะคนระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยโดนส่องด้วยอาวุธสงคราม มันเป็นไปได้ไง

ตอนนั้นเป็นวันที่ 18 มีนาคม 2520 ท่านสมัครเป็นรัฐมนตรีกระทรวงนี้หนุ่มฟ้อเชียว สังกัดรัฐบาลเอียงขวาของท่านธานินทร์ กรัยวิเชียน องคมนตรี ท่านสมัครไปตรวจราชการที่ลำปาง คืนนั้นได้ไปออกทีวีช่อง 8 คุยเรื่องนโยบายของกระทรวง

อธิบายเพิ่มเติมนิดหน่อย ตอนนั้นทีวีประเทศไทยไม่ได้รวมศูนย์อยุ่ในกรุงเทพเหมือนทุกวันนี้ จังหวัดใหญ่ ๆ มีทีวีของกรมประชาสัมพันธ์ไปออกอากาศเอง เพราะสัญญาณของทีวีกรุงเทพยังครอบคลุมไม่ได้ทั้งประเทศเลยต้องใช้วิธีนี้ ช่อง 8 ลำปางก็มีการจัดรายการของตนเองบ้าง ถ่ายทอดสัญญาณจากกรุงเทพในบางช่วง หรือนำละครที่เก่า ๆ มาฉายให้ชาวบ้านดูบ้าง เช่นเดียวกับช่อง 11 หาดใหญ่ และอีกหลายจังหวัด


คุยเสร็จราวทุ่มครึ่ง ท่านสมัครและคณะ มีทั้งผู้ว่า ทั้งนายกเทศมนตรี และผู้บัญชาการตำรวจภาค มีกำหนดต้องเลี้ยวซ้ายออกจากสถานี ไปกินขันโตกดินเนอร์ที่โรงเรียนลำปางกัลยาณี แต่ดันมีข่าวว่าเกิดเหตุฆ่ากันตายทางขวา เลยเลี้ยวขวาจะไปดูที่เกิดเหตุ


ก็เพราะเลี้ยวขวานั่นเอง เลยทำให้รอดจากจรวดต่อสู้รถถัง M 72 ที่ดักยิงตรงทางออกสถานีพอดี !!!

เจอเข้าไป 3 ดอก ยังมีระเบิดมืออีก 2-3 ลูก บางลูกก็ด้าน บางลูกก็ตกไปที่บ้านคน พร้อมทั้งเสียงปืนดังถี่ยิบ รถเก๋งของสมัครแล่นหนีไปได้ มีกระจกแตกเพราะเเรงดันระเบิดบ้าง แต่คนปลอดภัย จับมือใครดมไม่ได้ เดาไปต่าง ๆ นานา พบหลักฐานว่ามือสังหารมาซุ่มคอยอยู่นานแล้วเพราะก้นบุหรี่เกลื่อน ส่วนจรวด M 72 นั้น เป็นอาวุธของอเมริกา ทบ.ไทยยังไม่มีใช้ จึงน่าจะลักลอบเอามาจากฝั่งลาว

สรุปว่าเรื่องก็เงียบหายไป เหมือนคดีร้ายแรงกว่านี้อีกมากมาย

วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

สมัคร สุนทรเวช ที่ผมรู้จักและคิดเอาเอง..ลาก่อนครับท่านนายก

หลังจากที่ได้ทราบข่าวอนิจกรรมของท่านสมัคร สุนทรเวช ผมได้งัดงานเขียนที่เกี่ยวกับท่านในบล็อกโอเคเนชั่นมาเสนออีกที เป็นงานที่เขียนเมื่อตอนที่ท่านเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีใหม่ ๆ เมื่อปลายปี 50 เอามาปรับเล็กน้อยครับ



สมัครสุนทรเวช ที่ผมรู้จักและคิดเอาเอง



มีคนประกาศว่ารออ่านเรื่องนี้เยอะ เพราะผมบอกว่าจะเขียนถึงท่านเมื่อเรื่องที่แล้ว คือ "คุยกับเรือรบครบ 40000 คลิ๊ก" บอกว่าเมื่อท่านได้เป็นนายกรัฐมนตรีแล้วจะเขียนถึง และเรื่องที่จะเขียนนี้ หากใครหวังว่าผมจะด่าเขาเละ หรือว่าเลียจนลิ้นแผล็บ ๆ ก็เปิดข้ามไปเถอะครับ เพราะที่ผมจะเขียนนนี้มาจากความทรงจำ ย่อมไม่มีเรื่องเช่นนั้น และผมก็ไม่ใช่คนแบบนั้น


ผมกับท่านไม่เคยคุยกัน หรือทำงานร่วมกัน ชีวิตนี้เจอกันแค่ 2 ครั้ง แต่ก็ประทับใจ ลองอ่านต่อไปครับ
ท่านเป็นรุ่นพี่เซ็นต์คาเบรียล เหมือนกับพลเอกสุรยุทธ์ นายกรัฐมนตรีคนก่อนนั่นเเหละครับ ผมได้ยินชื่อท่านครั้งแรกก็ตอน ป.4 รุ่นพี่จับเราขึ้นอัฒจันทน์ ซ้อมแปรอักษรเป็นคำเชียร์ ส.ส.หนุ่มผู้หนึ่ง ที่มาเป็นประธานเปิดกีฬาสีของเราในปีนั้น จำได้ว่าซ้อมกันวันละหลายชั่วโมงอยู่หลายวัน ทั้งที่เราตัวกะเปี๊ยก มีโค้ด 10 กว่าโค้ด เป็นอักษรว่า samak บ้าง สมัครบ้าง เป็นถุงมือสีแดงสีขาว แปรกันโคตรเหนื่อย เพื่อสร้างความประทับใจแก่รุ่นพี่ผู้นี้แค่ 20 นาที !!!


วันนั้นท่านสมัคร เล่าประสบการณ์ตนเองที่โรงเรียน ว่าประทับใจครูอาจารย์ทุกคน เพราะตอนเรียนน่ะเกเรมาก โดนเฆี่ยนและทำโทษคุกเข่าหน้าห้องเรียนวันละหลายชั่วโมง แต่ก็รักมาสเตอร์บราเดอร์ทุกคน ผมยังนึกในใจว่าหมอนี่ใช้ได้แฮะ โดนเล่นหนักกว่าเราแต่ยังรักคนทำโทษอีก แบบนี้ตอนนั้นเราเกลียดพวกครูมาก
ท่านสมัครตอนนั้นเป็นฝ่ายขวาเอามาก ๆ เพราะชื่อเสียงหลัง 6 ตุลานั้นดัง ทั้งสวนกับสื่อ ( ผมอ่านหนังสื่อสันดานหนังสือพิมพ์กับสันดานรัฐมนตรีปากหมาทั้งสองเล่ม มันทั้งคู่ ) ทั้งบวกกับพวกคอมมิวนิสต์ อ่านถึงตอนนี้พิจารณาดี ๆ นะครับ ว่าตอนนั้นคนเมืองหลวงกลัวคอมจะยึดประเทศกันหมด ต่างคนต่างเป็นฝ่ายขวาทั้งนั้นแหละ แต่สมัครนั้นมากกว่าคนอื่นหน่อย อย่างไรก็ตาม ช่วง 18-19 ผมฟังวิทยุยานเกราะตลอด ไม่เคยได้ยินว่าสมัครเกี่ยวข้องในเรื่องนี้แต่อย่างใด


โดดมาถึงตอนที่ผมมาเป็นทหารใหม่ ๆ หลังคอมมิวนิสต์สงบแล้ว แต่คนบางกลุ่มยังไม่เชื่อว่าฝ่ายแดงสงบจริง เพราะช่วงนั้นเรายังมีสงครามมืดกับเวียดนามอยู่เลย กลุ่มที่เรียกวา"อภิรักษ์จักรี" ซึ่งประกอบด้วยคนที่เคยเป็นลูกเสือชาวบ้านและชังคอมมิวนิสต์สุดขั้วก็ยังออกมาทำกิจกรรมกันอยู่ แต่ด้วยความขวาจัดทำให้พวกเขาไม่เป็นที่นิยมในวงกว้าง ผมได้รู้จักพวกนี้หลายคน เพราะงานแรกในฐานะร้อยตรีคือกินเหล้าหาข่าวและสร้างสัมพันธ์กับมวลชน ผมพบว่าท่านสมัคร เป็น IDOL หรือขวัญใจของคนขวาจัดเหล่านี้ แต่ไม่ปรากฏว่าท่านสมัครเป็นผู้ชักใยแต่ประการใด


ก้าวมาถึงตอนที่จะเลือกตั้งปี 38 ผมถูกสั่งให้ติดตามการหาเสียงภาคสนามของพรรคการเมืองต่าง ๆ รวมทั้งพรรคประชากรไทยด้วย ตอนนั้นพรรคนี้กระแสตกแล้ว คนไหนปลื้มสมัคร ถือว่าเชย และก็มีคนจำนวนมากเรียกท่านว่า "ไอ้หมัก" คู่กับกับ "ไอ้เหลิม" เพราะมีลีลาพูดได้ยอดเยี่ยมมากในสภา ไม่ใช่เป็นการดูถูกแต่อย่างใด


จำได้ว่าผมไปฟังปราศรัยเพราะหน้าที่ แต่เพื่อนที่ตามไปด้วยเป็นนักศึกษาปริญญาเอกที่รักสมัครอย่างหนัก พอปราศรัยจบก็โดดขึ้นบนเวทีขอถ่ายรูปกับท่าน โดยมีผมเป็นตากล้องอยู่ด้านล่างเวที ถ่ายไปแชะหนึ่งแบบงั้น ๆ เพราะผมไม่ได้ปลื้มอะไรท่าน แต่ก็สังเกตว่าท่านสมัครเป็นคนห่วงใยคน ท่านบอกว่าขอให้ถ่ายอีกมุมที่ชัดกว่า แล้วขยับทั้งท่านและเพื่อนให้ถ่ายมุมสวย ๆ ซึ่งก็มีแค่ท่านกับเพื่อนผมเท่านั้นที่อยู่บนเวที ผมก็บรรจงถ่ายอย่างดี แล้วก็คิดว่าหมอนี่ใช้ได้ไม่ถือตัว



เท่าที่เคยได้ยินมา ผมว่าท่านสมัครเป็นคนปากตรงกับใจ หายากสำหรับนักการเมืองที่เห็นอยู่เวลานี้ อันนี้อาจเป็นเสน่ห์ของสมัคร รักใครรักจริง เกลียดใครเกลียดจริง งูเห่ากราบแทบตายยังไม่ยอมดีด้วย ที่ผมสังเกตอีกอย่างหนึ่งก็คือในอดีตนั้น สมัครไม่มีเรื่องเสื่อมเสียทุจริตเลย พึ่งจะมีระยะหลัง ๆ เรื่องรถเก็บขยะบ้างอะไรบ้างนั้นเป็นเรื่องเล็กน้อย หลักฐานไม่พอทั้งนั้น


ผมยอมรับว่าสมัครเป็นคนเก่งอย่างหาตัวจับได้ยากเรื่องประวัติศาสตร์ ประเพณีไทย และสถาบันกษัตริย์ ความรู้เรื่องพวกนี้ถือว่ายอดเยี่ยมกว่าฝีมือทำกับขาวหรือเลี้ยงแมวเสียอีก เพราะท่านอบร่ำกับเรื่องโบราณราชประเพณีนี้กระมัง จึงไม่มีใครยัดข้อหาให้ว่าท่านไม่จงรักภักดี




ผมนั้นไม่ถึงกับเชื่อว่าท่านจะนำนาวาประเทศไทยไปรอด เพราะปัญหาเศรษฐกิจและความแตกแยกทางสังคมมันหนักจริง ๆ แต่ผมว่าท่านต้องตั้งใจเป็นนายกอยู่แล้ว เพราะนี่คือเกียรติภูมิของท่าน ท่านเป็นคนที่มีอัตตาสูงมาก ถึงทักษิณจะมีอิทธิพลมากในพรรคพลังประชาชน แต่ก็ไม่ได้ชักใยสมัครหรอกครับ ทั้งยังอาจต้องยอมตามท่านสมัครเสียด้วย แต่ท่านไม่แทรกแซงใคร และไม่พูดในเรื่องที่ท่านไม่ทราบ

วันนี้ ท่านจากโลกนี้ไปพร้อมทั้งคนรักและคนชัง (ที่คงอโหสิท่าน) สำหรับผม ซึ่งไม่เคยเป็นผู้เชียร์ท่าน จนกระทั่งถึงเมื่อกลางปีที่แล้ว ที่รักน้ำใจในการยืนหยัดสู้กับความไม่ถูกต้องอย่างห้าวหาญ เหมือนที่เคยต่อสู้ถวายพระบาทสมเด็จ ฯ และเพื่อชาติของเรา จนพ้นภัยคอมมิวนิสต์มาได้ ขอให้ดวงวิญญาญของท่านไปสู่สุคติครับ

วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ถือผิว แยกความเชื่อ สไตล์ใหม่

ไม่ว่าโลกจะทันสมัยขึ้นเท่าใด ร้อยรัดรู้เรื่องของต่างวัฒนธรรมลุ่มลึกขนาดไหน มนุษย์จำนวนไม่น้อยก็ยังมีจิตใต้สำนึกในเรื่องการถือแบ่งมนุษย์ด้วยกันอยู่นั่นเอง เพียงแต่ว่าอาการของการเหยียดเชื้อชาติ ศาสนา เผ่าพันธุ์ในปัจจุบันนั้น ต้องทำอย่างมี”ชั้นเฃิง” ไม่งั้นจะถูกมองว่าไม่ศิวิไลซ์ ในสังคมที่ไม่เคร่งครัดเท่าไหร่ อาการนี้จะไม่ค่อยปกปิด แต่ในสังคมตะวันตกที่อ้างว่ายึดถือคุณค่าแห่งสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียมกันแล้ว การแสดงออกเรื่องนี้สู่สาธารณะเป็นประเด็นถือสาขนาดหนัก แต่ก็ใช่ว่าไม่มี

ถ้าเปรียบเทียบกับบางชาติในเอเชียที่ชอบพูดเรื่องโจ๊กเกี่ยวกับผิวคล้ำ ตาตี่ หรือบ้านนอกแล้ว ฝรั่งทำเช่นนั้นไม่ได้ เพราะจะถูกมองว่าเป็นพวกเหยียดผิว ฟาสซิสท์ หรือนาซี ไปทันที ทั้งยังโดนทั้งกฏหมายทั้งปทัสฐานสังคมเล่นงานอีกมาก ดังนั้น คนที่ยังยึดถือเรื่องนี้อย่างหนักจึงต้องมีการแสดงออกที่ “เนียน” ขึ้นกว่าในอดีต ที่กำลังเป็นเทรนด์อยู่ในเวลานี้ ก็คือ การปฏิเสธว่าการล้างเผ่าพันธ์ชาวยิวในสมัยฮิตเลอร์นั้นไม่มีจริงหรือเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย (โฮโลคอสต์ ดินายอัล) มีนักเขียน นักการเมืองหลายคนทั้งฝรั่งและอาหรับเจอข้อหาดังกล่าว จริงอยู่ที่ชาวตะวันตกอ้างสิทธิส่วนบุคคลในความคิด แต่หากใครไม่คิดเห็นใจชาวยิวหรือไม่เกลียดชังฮิตเลอร์แล้วล่ะก้อ มีอันโดนปะหน้าว่าเป็นพวกเหยียดเชื้อชาติทันที คงคล้ายกับการยัดข้อหาไม่รักชาติรักสถาบันให้กับคนบางกลุ่มในประเทศของเรา

สัปดาห์ที่ผ่านมามีเหตุการณ์ที่เหยียดความเชื่ออย่างมีชั้นเชิง 2 เรื่องที่เป็นแรงบันดาลใจให้เขียนบทความนี้ เรื่องแรกคือ นายเกิร์ต วิลเดอร์ สส.ขวาจัดของฮอลแลนด์จะเดินทางไปอังกฤษตามคำเชิญของสมาชิกสภาขุนนางที่นั่น สื่อมวลชนแสดงความกังขาที่คราวนี้ รมว.มท.ของอังกฤษจะไม่ห้ามเขาเข้าประเทศ ทั้งที่เคยห้ามมาคราวนึงแล้ว วิลเดอร์ ต้องคดีที่ฮอลแลนด์ข้อหาปลุกปั่นให้คนเกลียดชังกัน เนื่องจากเขาพยายามโยงคัมภีร์ของบางศาสนาเข้ากับการก่อการร้าย แล้วถึงขนาดรณรงค์ให้ยกเลิกการสวมผ้าคลุมหน้าของสตรีในศาสนานี้ด้วย แน่นอนว่าวิลเดอร์ต้องอ้างว่าเขารักสงบและไม่ได้ต่อต้านศาสนานี้ เพียงแต่เห็นภัยของกระบวนการนำศาสนานี้รุกคืบเข้าคุกคามสังคมตะวันตก ถึงแม้แนวคิดของวิลเดอร์จะเป็นวิชาการแต่คนทั่วไปก็เห็นว่านี่คือการเหยียดศาสนา

อีกรายคือ นายคีธ บาร์ดเวล ผู้พิพากษาผิวขาวของหลุยเซียน่า ประกาศว่าเขาไม่ยอมรับรองให้คู่สมรสที่มีผิวไม่เหมือนกันจดทะเบียนเด็ดขาด เขาอ้างว่าเห็นใจลูกของคนต่างผิวที่จะเกิดมาแล้วจะไม่ได้รับการยอมรับทั้งสังคมขาวและสังคมดำ ใต้เท่าผู้นี้อ้างว่าเขาไม่ใช่คนเหยียดผิวและอกทะเบียนสมรสให้ขาว-ขาว ดำ-ดำ มานับไม่ถ้วน แต่เขาว่าอยู่สังคมผิวใดก็ผิวนั้น อย่าข้ามสายพันธุ์เป็นดีที่สุด แน่นอนว่ากำลังมีคู่สมรสต่างผิวยื่นฟ้องว่าความเชื่อส่วนตัวของบาร์ดเวลละเมิดกฏหมายสหรัฐ ฯ


คมชัดลึก 16 ตุลาคม 2552

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

อย่ายอมให้ฮุน เซ็น ข่มขู่

เมื่อ 5 ตุลาคม ก่อนเกิดกรณีทักษิณเป็นที่ปรึกษาเขมร และก่อนเกิดกรณีวิวาทะอภิสิทธิ์-ฮุนเซ็น ที่ภูเก็ต ผมเขียนบทความลงคมชัดลึก ให้รัฐบาลที่หงอกัมพูชาเหลือเกิน อย่ายอมให้ฮุน เซ็น ข่มขู่ เวลานี้รัฐบาลไม่หงอแล้ว แต่ใช้เหตุผลแข็งต่อกัมพูชาได้ผิดฝาผิดตัวเหลือเกิน ซึ่งเป็นเหตุผลที่ไม่ได้แก้ปัญหาความมั่นคงระหว่างสองชาติ แถมยังเป็นชนวนวุ่นวายระหว่างสีในกรุงเทพเสียอีก

บทความที่ผมเขียนตอนนั้นว่ารัฐบาลควรทำอย่างไร ขอลงให้อ่านครับ


อย่ายอมให้ฮุนเซ็นข่มขู่




ใครที่เป็นคนไทย ได้อ่านบทความของ นสพ.รัศมีอังกอร์ และสื่ออื่นๆ ที่นำคำพูดของ ฮุน เซน ผู้เรืองอำนาจสูงสุดแห่งกัมพูชาแล้วก็คงรู้สึกเจ็บร้อนแทนชาติของเราทั้งนั้น นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เขมร ชาติลูกไล่ของไทยในอดีต


แสดงอาการไม่เห็นหัวเพื่อนบ้านแห่งนี้ นอกเหนือจากการอดกลั้น เราน่าจะทำการตอบโต้กัมพูชาบ้าง เพื่อไม่ให้ความเสื่อมศรัทธาในผู้มีอำนาจตัดสินใจของฝ่ายไทยและสิ้นขวัญกำลังใจในหมู่พวกเรากันเองจะขยายกว้างออกไปกว่านี้


ในความเป็นจริง สิ่งที่ ฮุน เซน พูดนั้นก็มีเหตุผลอยู่หลายประเด็น โดยเฉพาะการที่ฝ่ายไทยเองเอาประเด็นเรื่องเขาพระวิหารไปเป็นเครื่องมือเล่นงานทางการเมืองภายในประเทศ จนพันมาถึงเขมรด้วย แต่ขณะเดียวกัน เขมรก็อาศัยปรากฏการณ์นี้ขยายฮุบดินแดนที่ไทยมัวแต่อ้างว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อน


หากสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้ คือ ไทยมัวนิ่งเฉย ไม่รู้จะทำยังไงดี เขมรก็จะรุกคืบครอบครองจุดยุทธศาสตร์ชายแดนได้หมด เกียรติภูมิฝ่ายไทยที่ด้อยลงจะยิ่งเร่งให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งภายในประเทศขึ้นอีก เวลานี้ก็เห็นแล้ว ว่าบางกลุ่มก็ไม่พอใจทางการที่ไม่ตอบโต้เขมรเสียที บางกลุ่มก็ไม่พอใจพวกกลุ่มแรกที่เหมือนกับจะกระตุ้นภาวะคลั่งชาติ ในเมื่อไร้สามัคคีอย่างนี้ ไม่มีทางแก้ปัญหาอะไรได้


รัฐในฐานะผู้ที่มีภาระโดยหน้าที่ให้แก้ไขปัญหานี้ควรทบทวนนโยบายกับฮุน เซน เสียใหม่ จริงอยู่ การเจรจาโดยสันติ ไม่ใช้กำลัง ผ่อนปรนเข้าหากันนั้นเป็นสิ่งที่ต้องดำเนินต่อไป แต่ต้องหยุดความกร่างของฮุน เซน เสียบ้าง แนวคิดนี้คนข้างตัวนายกฯ เอง สมัยที่เป็นนักวิชาการก็คิดว่าต้องหยุดฮุน เซนเสียก่อนที่จะได้ใจแล้วไปไกลกว่าเหมือนกัน


ประการแรก คือ เลิกประจบในเรื่องที่ไม่จำเป็น เช่น การส่งคืนโบราณวัตถุหรือให้เงินกู้สร้างถนน สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งควรทำในยามปกติ แต่ในภาวะอย่างนี้มีแต่จะทำให้เกิดการได้คืบจะเอาศอก ทำให้ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกฮึกเหิมว่าตนเหนือกว่า ขณะที่ฝ่ายเดียวกันมองดูตนเองว่าอ่อนแอ


ประการต่อมา คือ ต้องตอบโต้ด้วยคำพูดแรงๆ ใส่กัมพูชาบ้าง อย่าไปกลัวว่าสิ่งนี้จะนำไปสู่สงคราม ข้อดีของการทูตโทรโข่งก็คือ ในเมื่อต่างฝ่ายต่างตระหนักว่าอีกฝ่ายก็ไม่ยอมเป็นเบี้ยล่าง การกระทำใดๆ ที่ไม่เหมาะควรก็จะไม่ผลีผลาม ทั้งยังเป็นการกระตุ้นขวัญกำลังใจฝ่ายเรา เราต้องแสดงว่าไม่กลัวกัมพูชา คุยกันในเวทีไหนก็ได้ ไทยเรายังมีมิตรในประชาคมโลกมากกว่าประเทศนี้ หรือไม่จริง และถ้าเป็นไปได้ ก็หาทางล้มเลิกบันทึกความเข้าใจร่วมปี 43 เสียด้วย

วันเสาร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

แสบจริง ๆ อภิสิทธิ์ กรณีเขมร

ผมเป็นคนหนึ่งที่เรียกร้องมาตั้งแต่ต้น เรื่องให้กร้าวต่อเขมร อย่ายอมให้ฮุนเซ็น ข่มขู่ เพราะเขมรเข้ายึดพื้นที่ทับซ้อนไปแล้วตั้งแต่ต้นปี แต่รัฐบาลก็เฉย แถมยังไปส่งบรรณาการให้เขาอีก

พอมาวันนี้กลับจะฮึ่มกับฮุน เซ็น แต่ก็ด้วยข้ออ้างไร้สาระสิ้นดีคือ ทักษิณไปเป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจให้เขา


มองเกมออกว่า รัฐบาลไม่ได้กล้ากับเขมรมาตั้งแต่ต้น แต่โดนพวกพันธมิตรรุกไล่จนต้องทำตาม ขณะเดียวกันก็จะฉวยโอกาสได้เล่นงานทักษิณ เอากระเเสนิยมเสียด้วย โดยแท้จริงแล้ว ก็หวังว่าเรื่องจะหยุดอยู่แค่ทางการทูตนี่แหละ ไม่ต้องรบจริง

นี่คือไพ่ที่ผู้นำไทยกำลังเล่น แต่เสี่ยงเหลือเกิน เพราะหากคู่แข่งไม่เดินเกมตามนิดเดียวมีหวังเจ๊งคากระดาน

อะไรบ้างที่เสี่ยง

ข้อแรกคือ การปะทะอาจเกิดขึ้น เล็กน้อยรัฐบาลไม่กลัว แต่หากขยายตัวล่ะ ดูแถลงการณ์ของรัฐบาลที่กล้า ๆ กลัว ๆ ไม่อยากให้ทั้งสองประเทศโกรธกัน แต่มันก็โกรธกันไปแล้ว เพราะไปปลุกกระแสคลั่งชาติเข้า กองทัพฮุนเซ็น ที่เติมกำลังหนาแน่น อาจบุกไทยเมื่อไหร่ก็ได้ ความสูญเสียก็จะตามมา

ข้อสอง เศรษฐกิจไม่สูญเสีย เเค่ประกาศก็พังไปเท่าไหร่แล้ว แค่ช่วงสั้นรัฐบาลรับได้ แต่ที่น่าห่วงคือ ความเชื่อมั่นระยะยาวที่เขมรไม่ต่อสัญญาคู่ค้าไทย โดนประเทศที่สามคว้าธุรกิจไป นี่สิยาว

ข้อสาม ไทยจะไม่เสียดืนแดน ถ้าเขมรกลัวหรือการดำเนินการทางกฏหมายจำพวกยกเลิก MOU ต่าง ๆ เป็นผลก็โอเคไป แต่เกรงจะไม่เป็นอย่างนั้น เพราะไทยจะอ้างอะไรก็ว่าไป แต่ทางพฤตินัยเขมรไม่ออกจากพื้นที่ทับซ้อนชายแดน ทั้งยังไม่ต้องเคารพข้อตกลงทางทะเลอีก เราจะบังคับเขาด้วยอะไร

ข้อสี่ คนไทยรักชาติ เชียร์ประชาธิปัตย์ เสื้อแดง-ทักษิณจ๋อย นี่คือสิ่งที่ประชาธิปัตย์หวังสุด แต่นั่นหมายถึงรัฐบาลต้องกร้าวต่อเนื่องแบบมีเหตุมีผล แต่หากอ่อนยวบให้ฮุนเซ็นเข้าอีก คนครึ่งประเทศก็ไม่เชียร์ ส่วนคนอีกครึ่งประเทศเขายิ่งเกลียดชังแตกร้าวหนักขึ้น รัฐบาลว่าขวา เขาว่าซ้าย รัฐบาลว่าใต้เขาว่าเหนืออยู่แล้ว

ข้อห้า พวกที่เคยหนุนหลังประชาธิปัตย์อย่างพวกพันธมิตร หรือ สว.สรร หรือใคร ๆ ยังเหนียวแน่นต่อรัฐบาลต่อ แน่ใจหรือครับ เพราะหากอภิสิทธิ์ไม่กล้าเล่นงานฮุนเซ็นไปกว่านี้ เขาก็จะยิ่งถล่มรัฐบาลหนักขึ้น

ในเมื่อเลือกเล่นเกมเช่นนี้แล้ว ถึงอย่างไรก็ขอเอาใจช่วยว่า ให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติสูงสุด มีสันติภาพ ได้รับการเคารพในทุกมิติจากเพื่อนบ้าน และประชาชนไม่เดือดร้อน ถ้าทำได้ก็โอเคครับ ถ้าผิดไปจากนี้ ใครควรถูกประณามก็คงรู้นะครับ

วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

รำลึกนวมทอง ไพรวัลย์

เขาไม่เคยเป็นผู้นำใคร นอกจากครอบครัวเล็ก ๆ หาเช้ากินค่ำ เขาไม่ค่อยมีสมบัติอะไร นอกจากแท๊กซี่ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเช่าคนอื่นขับหรือเปล่า เขาเกิดมาอย่างยากจน ด้อยค่า แม้แต่ตายก็ตายอย่างโดดเดี่ยว แขวนคอตนเองบนสะพานลอย การทำศพก็ลวกเต็มที ดูเหมือนจะไม่มีอะไรดีเลยสำหรับชีวิตคน ๆ นี้

แต่การตายของเขากลับจุดประกาย ความรักประชาธิปไตยอย่างล้นเหลือให้กับบ้านเมือง และทำให้ชื่อ ตลอดจนการกระทำของเขานั้นไม่มีวันละลาย กลายเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณให้กับผู้ไม่เห็นด้วยกับเผด็จการไปตลอดตราบที่ยังมีประเทศไทยอยู่

ใครจะชื่นชมกับการปฏิวัติ 19 ก.ย. ก็ช่างเขา ใครจะเกลียดชังทักษิณก็ช่างปะไร แต่ไม่มีใครกล้าดูถูกน้ำใจลุงนวมทอง ที่กล้าตาย เพื่อแสดงให้โลกรู้ว่า เขารับไม่ได้กับผู้ปกครองประเทศที่มากับการรัฐประหาร

น้ำใจนักสู้นี้ เชื่อว่าแม้แต่ทหารเองก็ยังคารวะ พี่อัคร ที่พูดผิดไปประโยคเดียว จนนำมาสู่การเสียชีวิตของลุงนวมทองคงร้าวรานใจกว่าเพื่อน


ในทางพุทธ ฆ่าตัวตายนั้นบาปหนา แต่การฆ่าตัวตายเพื่อประโยชน์แห่งมนุษยชาตินั้น ถึงตกนรกแต่มนุษย์ก็ยกย่อง เช่น สืบ นาคะเสถียร ทำให้คนหันมาสนใจรักษาป่าห้วยขาแข้งจากพวกนายทุนโจร ลุงนวมทองสำคัญเสียยิ่งกว่า เพราะทำให้คนมหาศาลต่อต้านเผด็จการยาวนานจนวันนี้

คนที่ว่าลุงนวมทองบ้า ทำเพื่อเงิน หรือเป็นขี้ข้าระบอบที่ไม่จงรักภักดี ต้องไปดูใหม่ในรายละเอียด คนบ้าไมสติสัมปัญชัญญะพูดคุยและเขียนจดหมายลาตายได้อย่างมีตรรกะ ไม่มีคนที่ทำเพื่อเงินคนใดกล้าเอารถเก๋งไปชนรถถัง และไม่มีคนที่ไม่จงรักภักดีคนใด เขียนหัวจดหมายว่า เขาขอตายเพื่อ "ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์"

คนที่อ้างมีจงรักภักดีต่อสามสถาบันหลักกว่าลุงนวมทอง มีใครกล้าทำอย่างท่านไหม


นี่คือวีรบุรุษ ที่ไม่ต้องเทียบกับใคร และได้รับการนับถืออย่างแท้จริง


นอกจากลุงนวมทองแล้ว คนที่ยังไม่ตาย แต่ผมนับถือว่าเป็นนักสู้เพื่อประชาธิปไตยของจริง มีอีก 2 คนคือ คุณฉลาด วรฉัตร และคุณประพันธ์ กมลเพ็ชร ทั้งคู่ ถ้าซื้อได้ เขารวย เขาเลิกประท้วงไปนานแล้ว แต่ที่เขาทำเช่นนี้เพราะอุดมการณ์น่ายกย่องครับ