วันอังคารที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2552

สวัสดีปีใหม่ทุกท่านครับ

พึ่งกลับมาจากการไปดูงานภาคเหนือ 8 วัน นั่งรถซะเหนื่อยเชียวครับ

พรุ่งนี้ก็จะไปค้างบ้านท่าฉลอมอีก 5 วัน ตัดขาดความวุ่นวายไปอีกระยะหนึ่ง

กลับมาเจอกันหลังปีใหม่นะครับ


ขอขอบคุณเพื่อน ๆ ทุกท่านที่ติดตามบล็อกเล็ก ๆ นี้มาครบ 1 ปี ขอให้มีความสุข ปราศจากสิ่งไม่ดีไม่งามตลอดปี 2553 ยันไป 54 เลยนะครับ ผมขออวยพรในแบบที่ผมชอบอวยพรที่สุดก็คือ หากใครให้พรท่านอันใด ผมขอให้พรนั้นคูณ 2 คูณ 10 แด่ท่านยิ่ง ๆ ขึ้นไปครับ

วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2552

รับมือปัญหากัมพูชาอย่างมีสติ

และแล้วรัฐบาลก็กล้าที่จะห้าวใส่ฮุน เซ็น สมดังความตั้งใจของกองเชียร์เสียที แต่การอ้างเหตุผลเรื่องทักษิณนั้นเป็นเรื่องที่ผูกปัญหายุ่งเหยิงที่ตามมาอีกมาก ขณะที่ยังไม่แน่ใจว่าปัญหาพื้นฐานที่เสียเปรียบกัมพูชาจริงๆ นั้น รัฐบาลจะแก้ได้หรือเปล่า หรือว่านี่เป็นเพียงเกมบลั๊ฟกันซึ่งไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน นอกจากความได้เปรียบของพรรคประชาธิปัตย์ในการเมืองภายในประเทศ การรับมือกับปัญหานี้อย่างฉลาด หวังแก้ปัญหาอย่างจริงจัง โดยไม่สร้างศัตรูถาวรเพิ่มขึ้นนั้นคือสิ่งที่ผู้มีอำนาจควรทำ


รัฐบาลควรตอบโต้เขมรมาตั้งแต่เมื่อต้นปีที่ทหารกัมพูชารุกเข้ายึดพื้นที่ทับซ้อนสามพันไร่ ไม่ใช่ปล่อยให้พวกเขาตั้งมั่นอยู่บนยอดภูมะเขือ จ่อปืนใหญ่มาทางไทยได้ วิธีการแก้ไขปัญหาไม่ใช่การเอาบรรณาการไปส่งเปล่า ๆ ไม่ใช่การยกเลิกเอ็มโอยูทางทะเล ที่อาจปิดกั้นโอกาสการแสวงประโยชน์ในน้ำมันและก๊าซของกัมพูชา และไม่ใช่การอ้างสิทธิเหนือปราสาทพระวิหารที่เสียไปแล้ว แต่ต้องเป็นการผลักให้เขมรยกทัพออกไปให้ได้ และต้องให้ฮุน เซ็น เลิกการจับจ้องปราสาทตาเหมือนเสียด้วย การทบทวนความช่วยเหลือกัมพูชานั้นถูกแล้วและหากจำเป็นก็อาจต้องใช้กำลังอย่างจำกัด ควบคู่ไปกับการปักปันเขตแดนที่ควรแล้วเสร็จเสียที จะด้วยวิถีทางใด แลกพื้นที่บางส่วนของกันและกันก็ได้ถ้าจำเป็น



รัฐบาลต้องควบคุมกระแสชาตินิยมให้พอเหมาะ ไม่ใช่คลั่งชาติจนนำไปสู่การไม่ยอมกันของชนในชาติ การมุ่งเป้าไปที่อดีตนายกนั้น รัฐบาลต้องเล็งรับมือกับความไม่พอใจอย่างรุนแรงของเครือข่ายเสื้อแดงด้วย ปฏิกิริยาเร่งอย่างนี้ ต่อให้มีจุดพลิกผันหรือแตกหักเป็นห้วง ๆ ก็จะไม่มีวันจบลงในระยะเวลาอันสั้น ไม่รู้ว่ารัฐบาลเตรียมพร้อมขนาดไหน ยุทธศาสตร์ระยะยาวเป็นเช่นไร และจะเหมาะสมกว่าไหมที่จะดำเนินการกับกัมพูชาในแบบที่ทั้งฝ่ายเสื้อแดงและเสื้อเหลืองพอใจทั้งคู่ ไม่ใช่ยิ่งแตกร้าวกันหนักเข้าไปอีก และที่สำคัญคือความรู้สึกหรืออุดมการณ์ใด ๆ นั้นเป็นคนละเรื่องกับความจริงที่ตรงเข้าถึงตัวชาวบ้าน เช่น ปัญหาเศรษฐกิจและสังคมไปได้ รัฐบาลต้องไม่ลืมให้น้ำหนักกับประเด็นนี้เป็นอันขาด



ปัญหาใด ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างไทยกับกัมพูชาอย่าให้ลามไปในด้านอื่น คงต้องเตรียมตัวรับผลกระทบทางเศรษฐกิจทั้งจากการค้าการลงทุนในประเทศนี้ และผลกระทบที่ชาติอาจเข้าสู่ภาวะไม่สงบเอาไว้ การตอบโต้ด้วยวาจาแบบเด็ก ๆ เช่น จะสร้างบ้านให้ผู้มีส่วนกับการปลุกกระแสความไม่สงบในพนมเปญเมื่อ 6 ปีก่อนไม่ควรเอ่ย ขณะที่การจัดหายุทโธปกรณ์เพื่อรองรับศึกทางตะวันออกควรตรวจสอบให้ดี อย่าให้ใครใช้เป็นข้ออ้างหาประโยชน์เกินจำเป็นได้



ลงท้าย ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร ขอให้เลือกดำเนินการในทางที่ถูกต้อง เป็นประโยชน์อย่างแท้จริงต่อประเทศชาติและคนไทยมากกว่าพรรคหรือกลุ่มก้อนใด ๆ

----------------
มองมุมยุทธศาสตร์ คมชัดลึก 11 พ.ย.52 นำลงโดยไม่ตัดทอน

วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ทำไมเกาหลีเหนือยังเข้มแข็งนัก

ขอต้อนรับข่าวการจับอาวุธเกาหลีเหนือในไทยเมื่อสุดสัปดาห์ก่อนด้วยบทความวิเคราะห์เกาหลีเหนือ ที่ลงคมชัดลึกเมื่อ 10 พ.ย.นี้


การอยู่ห่างไกลจากสถานการณ์ในพื้นที่และการเลือกรับฟังสื่อด้านเดียวมักนำไปสู่ความเข้าใจที่ตกผลึกว่าสิ่งโน่นหรือที่นั้นต้องเป็นเช่นนี้ ความเข้าใจเกี่ยวกับเกาหลีเหนือจึงมักเป็นไปในทิศทางที่ว่าประเทศนี้จน ย่ำแย่ ใกล้จะล้มละลาย อดตายกันทั้งประเทศ รัฐบาลเลวร้ายจนใกล้พังทลายเต็มที จริงๆ แล้ว เกาหลีเหนือเป็นเช่นนั้นหรือไม่ก็ไม่แน่ อีกทั้งมีคำถามมากมายที่ตอบด้วยความรู้สึกแล้ว ไม่ค่อยตรงตามตรรกะนัก เช่น ทำไมเกาหลีเหนือยังสามารถมีอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งไม่ใช่เรื่องธรรมดาของชาติที่ถูกกล่าวหาว่าไม่มีอะไรดีสักอย่าง


ทาเคชิ โยโกตะ คอลัมนิสต์ของนิวสวีค พยายามชี้ให้เห็นว่าสิ่งที่เราวาดภาพเกาหลีเหนือในย่อหน้าแรกนั้นเป็นแค่ความเชื่อ ประเทศนี้แข็งแกร่งกว่าที่คาด จึงทำให้รัฐบาลเปียงยางที่ดูดรายได้ส่วนใหญ่ของประเทศเอาไปใช้ในกิจการทหารนั้นสร้างกองทัพ รวมทั้งยุทโธปกรณ์ให้เกรียงไกรได้ ที่ว่าเกาหลีเหนือยากจนนั้น แท้จริงมีจีดีพีถึง 4 หมื่นล้านดอลลาร์ เติบโตราว 1.5% ต่อปี นับว่าไม่เลวเลย

และที่ว่าโสมแดงปิดประเทศ ดำรงชีพด้วยเศรษฐกิจแบบรวมศูนย์นั้นก็ไม่จริง เพราะค้าขายกับจีนอย่างเป็นล่ำเป็นสัน จีนลงทุนในธุรกิจเหมืองแร่ เหล็กและอุตสาหกรรมหนักจำนวนมาก การค้าการลงทุนกับจีนที่มีสูงถึง 3 ใน 4 ของการค้าการลงทุนทั้งหมดนั้น ทำให้เกาหลีเหนือไม่โดดเดี่ยว สามารถยืนหยัดต่อการคว่ำบาตรของนานาชาติได้ดี แล้วก็ไม่รู้ว่าคว่ำบาตรกันอีท่าไหน เกาหลีเหนือยังทำการค้ากับชาติได้ตั้งกว่า 150 ประเทศ โดยปีกลายมีการค้าขายเพิ่มขึ้นถึง 30% มีทองคำราว 2 พันตัน อยู่ในลอนดอน ซูริก ฮ่องกง และมีการลงทุนในตลาดหุ้นนิวยอร์ก ทั้งยังมีข้อมูลว่าบริษัทพลังงานของอังกฤษมีสัญญา 20 ปีขุดสำรวจก๊าซธรรมชาติและน้ำมันนอกฝั่งอีกด้วย


กับเพื่อนบ้านอย่างเกาหลีใต้ยุครัฐบาลลี มยอง บัค ที่แยกเขี้ยวเข้าใส่กัน ก็ยังคงไม่มีปัญหาด้านการลงทุน โสมขาวยังไปลงทุนในเขตอุตสาหกรรมแกซอง เขตการลงทุนพิเศษของฝ่ายเหนือกันคึกคัก รายได้ปีละ 35 ล้านดอลลาร์นี้ นายโยโกตะประเมินว่า สามารถสร้างขีปนาวุธพิสัยใกล้ได้เกือบ 10 ลูก นอกจากนี้เกาหลีเหนือยังมีรายได้จากการขายขีปนาวุธให้อิหร่าน ซีเรีย ปากีสถานอีกราว 100 ล้านดอลลาร์ต่อปี ทำให้ไม่ต้องพึ่งพาตลาดมืดสักเท่าใด หลักฐานที่ว่าปลอมแบงก์อเมริกันก็ไม่ชัดเจน


จากข้อมูลดังกล่าว เกาหลีเหนือจึงยังอยู่อย่างสบาย กองทัพยังค้ำบัลลังก์ระบอบคิม จองอิล ไปได้อีกนาน ขณะที่ประชาชนก็ไม่ถึงขนาดต้องลุกฮือขึ้นโค่นล้มรัฐบาล แถมอาจจะแข็งแกร่งได้มากกว่านี้อีก ถ้าสหรัฐใช้การทูตแบบใหม่ แบบที่เริ่มใช้กับพม่า มาใช้กับเกาหลีเหนืออย่างจริงจัง

วันพุธที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2552

อดีตเลขาเอกพนมเปญ..คุณได้โอกาสแสดงความเป็นลูกผู้ชายแล้ว

เกิดมาเป็นชายสักชีวิตหนึ่ง ทุกคนต้องอยากจะมีสักครั้งในชีวิตที่ได้แสดงความเป็นแมนออกมาให้สังคมรู้ ว่าตัวนั้นมีจิตวิญญาณที่ห้าวหาญของลูกผู้ชาย ไม่ใช่ไอ้หน้าตัวเมียขี้ขลาด เสียชาติที่เกิดมา

การแสดงความเป็นลูกผู้ชายนั้น ไม่ใช่การท้าตีท้าต่อยกับชาวบ้าน ทั้งที่ตนเป็นฝ่ายหาเรื่องเขาก่อน ไม่ใช่กลั่นแกล้งคนอ่อนแออย่างน่าละอาย และไม่ใช่การอวดเท่โชว์สาว แต่ต้องเป็นการกระทำที่มุ่งไปเพื่อความถูกต้อง ไม่กลัวจะสูญเสียผลประโยชน์หรือแม้แต่ชีวิต ต้องมุ่งเพื่อประโยชน์ของคนอื่นหรือสังคม และถึงหากตัวเองทำผิดพลาดไป อย่างน้อยก็รับผิดอย่างหน้าชื่นตาบาน

กรณีที่คำรบ อดีตเลขานุการเอกพนมเปญ เคยคุยกับศิวรักษ์ วิศวกรที่ติดคุกเขมรอยู่ในเวลานี้ เป็นอย่างไรไม่มีใครรู้ความจริงเท่าพวกคุณ จะเป็นเรื่องของการจัดฉาก หรือการเกลียดชังทักษิณ หรือเรื่องของการพยายามฆ่าคนอย่างต่ำช้า ก็เป็นสิ่งที่มีแต่พวกคุณเท่านั้นที่รู้ และคุณอาจถือสิทธิ์ไม่ต้องเล่าให้ใครฟังก็ช่าง

แต่วันนี้ วันที่ศิวรักษ์โดนคุกนานกว่าเดือน แม่ของเขาร้องไห้ เรียกหาความรับผิดร่วมกับการกระทำของคุณ คุณจะไม่ออกมาพูดอะไรหน่อยหรือ

ออกมาแสดงความเสียใจกับศิวรักษ์ แล้วบอกว่าเขาโกหกก็ได้ ถ้าความจริงมันเป็นเช่นนั้น

ออกมาเล่าความจริงทั้งหมดก็ได้ ถ้าคุณเห็นว่าความจริงคือเกียรติของคน

ออกมายอมรับว่าตนเองร่วมกระทำการกับศิวรักษ์จริง และจะไม่ปล่อยให้เขาต้องติดคุกอย่างโดดเดี่ยว ส่วนคุณจะช่วยเหลือได้เพียงไร ด้านใด ก็ว่าออกมา นี่คือการแสดงความเป็นลูกผู้ชายอย่างแท้จริง


อย่าเงียบเลยครับ เพราะถึงจะมีคนเห็นด้วยกับการให้คุณอยู่เฉย ๆ สงบในกรมเอเชียตะวันออก เพื่ออะไรก็เเล้วแต่ ถึงในอนาคตกรณีศิวรักษ์จะคลี่คลายไป แต่ชื่อเสียงคุณจะมัวหมองตลอดไป

คุณจะรู้สึกผิดบาปในใจอย่างลึก ๆ ถ้ามีโอกาสได้แสดงความเป็นลูกผู้ชายออกมาแล้วไม่ทำ ตลอดชีวิตของคุณจะหลอนในเรื่องนี้ตลอดไป

ที่สำคัญคือ คุณอยากให้คนรอบข้างที่คุณจะต้องพบเจอ ทำงานด้วย สังคมด้วย ในอีกหลายปีชั่วชีวิตของคุณ เขามองคุณอย่างไร พูดลับหลังคุณอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับการแก้ปัญหากรณีที่อื้อฉาวอย่างยิ่งนี้เองครับ

จงเลือกยืนในจุดที่ทุกเช้า คุณมองกระจกแล้วรู้สึกภูมิใจในตนเองเถิดครับ

วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

สมัคร สุนทรเวช เคยถูกลอบสังหารด้วยอาวุธสงคราม รอดหวุดหวิด

ค้นหาเรื่องเก่า ๆ มาเขียน ไปเจอข้อมูลเก่าของอดีตนายกรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวชเรื่องหนึ่ง ซึ่งทุกวันนี้ไม่เคยได้ยินใครกล่าวถึงอีกเลย แต่ก็เป็นเรื่องน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง เพราะคนระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยโดนส่องด้วยอาวุธสงคราม มันเป็นไปได้ไง

ตอนนั้นเป็นวันที่ 18 มีนาคม 2520 ท่านสมัครเป็นรัฐมนตรีกระทรวงนี้หนุ่มฟ้อเชียว สังกัดรัฐบาลเอียงขวาของท่านธานินทร์ กรัยวิเชียน องคมนตรี ท่านสมัครไปตรวจราชการที่ลำปาง คืนนั้นได้ไปออกทีวีช่อง 8 คุยเรื่องนโยบายของกระทรวง

อธิบายเพิ่มเติมนิดหน่อย ตอนนั้นทีวีประเทศไทยไม่ได้รวมศูนย์อยุ่ในกรุงเทพเหมือนทุกวันนี้ จังหวัดใหญ่ ๆ มีทีวีของกรมประชาสัมพันธ์ไปออกอากาศเอง เพราะสัญญาณของทีวีกรุงเทพยังครอบคลุมไม่ได้ทั้งประเทศเลยต้องใช้วิธีนี้ ช่อง 8 ลำปางก็มีการจัดรายการของตนเองบ้าง ถ่ายทอดสัญญาณจากกรุงเทพในบางช่วง หรือนำละครที่เก่า ๆ มาฉายให้ชาวบ้านดูบ้าง เช่นเดียวกับช่อง 11 หาดใหญ่ และอีกหลายจังหวัด


คุยเสร็จราวทุ่มครึ่ง ท่านสมัครและคณะ มีทั้งผู้ว่า ทั้งนายกเทศมนตรี และผู้บัญชาการตำรวจภาค มีกำหนดต้องเลี้ยวซ้ายออกจากสถานี ไปกินขันโตกดินเนอร์ที่โรงเรียนลำปางกัลยาณี แต่ดันมีข่าวว่าเกิดเหตุฆ่ากันตายทางขวา เลยเลี้ยวขวาจะไปดูที่เกิดเหตุ


ก็เพราะเลี้ยวขวานั่นเอง เลยทำให้รอดจากจรวดต่อสู้รถถัง M 72 ที่ดักยิงตรงทางออกสถานีพอดี !!!

เจอเข้าไป 3 ดอก ยังมีระเบิดมืออีก 2-3 ลูก บางลูกก็ด้าน บางลูกก็ตกไปที่บ้านคน พร้อมทั้งเสียงปืนดังถี่ยิบ รถเก๋งของสมัครแล่นหนีไปได้ มีกระจกแตกเพราะเเรงดันระเบิดบ้าง แต่คนปลอดภัย จับมือใครดมไม่ได้ เดาไปต่าง ๆ นานา พบหลักฐานว่ามือสังหารมาซุ่มคอยอยู่นานแล้วเพราะก้นบุหรี่เกลื่อน ส่วนจรวด M 72 นั้น เป็นอาวุธของอเมริกา ทบ.ไทยยังไม่มีใช้ จึงน่าจะลักลอบเอามาจากฝั่งลาว

สรุปว่าเรื่องก็เงียบหายไป เหมือนคดีร้ายแรงกว่านี้อีกมากมาย

วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

สมัคร สุนทรเวช ที่ผมรู้จักและคิดเอาเอง..ลาก่อนครับท่านนายก

หลังจากที่ได้ทราบข่าวอนิจกรรมของท่านสมัคร สุนทรเวช ผมได้งัดงานเขียนที่เกี่ยวกับท่านในบล็อกโอเคเนชั่นมาเสนออีกที เป็นงานที่เขียนเมื่อตอนที่ท่านเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีใหม่ ๆ เมื่อปลายปี 50 เอามาปรับเล็กน้อยครับ



สมัครสุนทรเวช ที่ผมรู้จักและคิดเอาเอง



มีคนประกาศว่ารออ่านเรื่องนี้เยอะ เพราะผมบอกว่าจะเขียนถึงท่านเมื่อเรื่องที่แล้ว คือ "คุยกับเรือรบครบ 40000 คลิ๊ก" บอกว่าเมื่อท่านได้เป็นนายกรัฐมนตรีแล้วจะเขียนถึง และเรื่องที่จะเขียนนี้ หากใครหวังว่าผมจะด่าเขาเละ หรือว่าเลียจนลิ้นแผล็บ ๆ ก็เปิดข้ามไปเถอะครับ เพราะที่ผมจะเขียนนนี้มาจากความทรงจำ ย่อมไม่มีเรื่องเช่นนั้น และผมก็ไม่ใช่คนแบบนั้น


ผมกับท่านไม่เคยคุยกัน หรือทำงานร่วมกัน ชีวิตนี้เจอกันแค่ 2 ครั้ง แต่ก็ประทับใจ ลองอ่านต่อไปครับ
ท่านเป็นรุ่นพี่เซ็นต์คาเบรียล เหมือนกับพลเอกสุรยุทธ์ นายกรัฐมนตรีคนก่อนนั่นเเหละครับ ผมได้ยินชื่อท่านครั้งแรกก็ตอน ป.4 รุ่นพี่จับเราขึ้นอัฒจันทน์ ซ้อมแปรอักษรเป็นคำเชียร์ ส.ส.หนุ่มผู้หนึ่ง ที่มาเป็นประธานเปิดกีฬาสีของเราในปีนั้น จำได้ว่าซ้อมกันวันละหลายชั่วโมงอยู่หลายวัน ทั้งที่เราตัวกะเปี๊ยก มีโค้ด 10 กว่าโค้ด เป็นอักษรว่า samak บ้าง สมัครบ้าง เป็นถุงมือสีแดงสีขาว แปรกันโคตรเหนื่อย เพื่อสร้างความประทับใจแก่รุ่นพี่ผู้นี้แค่ 20 นาที !!!


วันนั้นท่านสมัคร เล่าประสบการณ์ตนเองที่โรงเรียน ว่าประทับใจครูอาจารย์ทุกคน เพราะตอนเรียนน่ะเกเรมาก โดนเฆี่ยนและทำโทษคุกเข่าหน้าห้องเรียนวันละหลายชั่วโมง แต่ก็รักมาสเตอร์บราเดอร์ทุกคน ผมยังนึกในใจว่าหมอนี่ใช้ได้แฮะ โดนเล่นหนักกว่าเราแต่ยังรักคนทำโทษอีก แบบนี้ตอนนั้นเราเกลียดพวกครูมาก
ท่านสมัครตอนนั้นเป็นฝ่ายขวาเอามาก ๆ เพราะชื่อเสียงหลัง 6 ตุลานั้นดัง ทั้งสวนกับสื่อ ( ผมอ่านหนังสื่อสันดานหนังสือพิมพ์กับสันดานรัฐมนตรีปากหมาทั้งสองเล่ม มันทั้งคู่ ) ทั้งบวกกับพวกคอมมิวนิสต์ อ่านถึงตอนนี้พิจารณาดี ๆ นะครับ ว่าตอนนั้นคนเมืองหลวงกลัวคอมจะยึดประเทศกันหมด ต่างคนต่างเป็นฝ่ายขวาทั้งนั้นแหละ แต่สมัครนั้นมากกว่าคนอื่นหน่อย อย่างไรก็ตาม ช่วง 18-19 ผมฟังวิทยุยานเกราะตลอด ไม่เคยได้ยินว่าสมัครเกี่ยวข้องในเรื่องนี้แต่อย่างใด


โดดมาถึงตอนที่ผมมาเป็นทหารใหม่ ๆ หลังคอมมิวนิสต์สงบแล้ว แต่คนบางกลุ่มยังไม่เชื่อว่าฝ่ายแดงสงบจริง เพราะช่วงนั้นเรายังมีสงครามมืดกับเวียดนามอยู่เลย กลุ่มที่เรียกวา"อภิรักษ์จักรี" ซึ่งประกอบด้วยคนที่เคยเป็นลูกเสือชาวบ้านและชังคอมมิวนิสต์สุดขั้วก็ยังออกมาทำกิจกรรมกันอยู่ แต่ด้วยความขวาจัดทำให้พวกเขาไม่เป็นที่นิยมในวงกว้าง ผมได้รู้จักพวกนี้หลายคน เพราะงานแรกในฐานะร้อยตรีคือกินเหล้าหาข่าวและสร้างสัมพันธ์กับมวลชน ผมพบว่าท่านสมัคร เป็น IDOL หรือขวัญใจของคนขวาจัดเหล่านี้ แต่ไม่ปรากฏว่าท่านสมัครเป็นผู้ชักใยแต่ประการใด


ก้าวมาถึงตอนที่จะเลือกตั้งปี 38 ผมถูกสั่งให้ติดตามการหาเสียงภาคสนามของพรรคการเมืองต่าง ๆ รวมทั้งพรรคประชากรไทยด้วย ตอนนั้นพรรคนี้กระแสตกแล้ว คนไหนปลื้มสมัคร ถือว่าเชย และก็มีคนจำนวนมากเรียกท่านว่า "ไอ้หมัก" คู่กับกับ "ไอ้เหลิม" เพราะมีลีลาพูดได้ยอดเยี่ยมมากในสภา ไม่ใช่เป็นการดูถูกแต่อย่างใด


จำได้ว่าผมไปฟังปราศรัยเพราะหน้าที่ แต่เพื่อนที่ตามไปด้วยเป็นนักศึกษาปริญญาเอกที่รักสมัครอย่างหนัก พอปราศรัยจบก็โดดขึ้นบนเวทีขอถ่ายรูปกับท่าน โดยมีผมเป็นตากล้องอยู่ด้านล่างเวที ถ่ายไปแชะหนึ่งแบบงั้น ๆ เพราะผมไม่ได้ปลื้มอะไรท่าน แต่ก็สังเกตว่าท่านสมัครเป็นคนห่วงใยคน ท่านบอกว่าขอให้ถ่ายอีกมุมที่ชัดกว่า แล้วขยับทั้งท่านและเพื่อนให้ถ่ายมุมสวย ๆ ซึ่งก็มีแค่ท่านกับเพื่อนผมเท่านั้นที่อยู่บนเวที ผมก็บรรจงถ่ายอย่างดี แล้วก็คิดว่าหมอนี่ใช้ได้ไม่ถือตัว



เท่าที่เคยได้ยินมา ผมว่าท่านสมัครเป็นคนปากตรงกับใจ หายากสำหรับนักการเมืองที่เห็นอยู่เวลานี้ อันนี้อาจเป็นเสน่ห์ของสมัคร รักใครรักจริง เกลียดใครเกลียดจริง งูเห่ากราบแทบตายยังไม่ยอมดีด้วย ที่ผมสังเกตอีกอย่างหนึ่งก็คือในอดีตนั้น สมัครไม่มีเรื่องเสื่อมเสียทุจริตเลย พึ่งจะมีระยะหลัง ๆ เรื่องรถเก็บขยะบ้างอะไรบ้างนั้นเป็นเรื่องเล็กน้อย หลักฐานไม่พอทั้งนั้น


ผมยอมรับว่าสมัครเป็นคนเก่งอย่างหาตัวจับได้ยากเรื่องประวัติศาสตร์ ประเพณีไทย และสถาบันกษัตริย์ ความรู้เรื่องพวกนี้ถือว่ายอดเยี่ยมกว่าฝีมือทำกับขาวหรือเลี้ยงแมวเสียอีก เพราะท่านอบร่ำกับเรื่องโบราณราชประเพณีนี้กระมัง จึงไม่มีใครยัดข้อหาให้ว่าท่านไม่จงรักภักดี




ผมนั้นไม่ถึงกับเชื่อว่าท่านจะนำนาวาประเทศไทยไปรอด เพราะปัญหาเศรษฐกิจและความแตกแยกทางสังคมมันหนักจริง ๆ แต่ผมว่าท่านต้องตั้งใจเป็นนายกอยู่แล้ว เพราะนี่คือเกียรติภูมิของท่าน ท่านเป็นคนที่มีอัตตาสูงมาก ถึงทักษิณจะมีอิทธิพลมากในพรรคพลังประชาชน แต่ก็ไม่ได้ชักใยสมัครหรอกครับ ทั้งยังอาจต้องยอมตามท่านสมัครเสียด้วย แต่ท่านไม่แทรกแซงใคร และไม่พูดในเรื่องที่ท่านไม่ทราบ

วันนี้ ท่านจากโลกนี้ไปพร้อมทั้งคนรักและคนชัง (ที่คงอโหสิท่าน) สำหรับผม ซึ่งไม่เคยเป็นผู้เชียร์ท่าน จนกระทั่งถึงเมื่อกลางปีที่แล้ว ที่รักน้ำใจในการยืนหยัดสู้กับความไม่ถูกต้องอย่างห้าวหาญ เหมือนที่เคยต่อสู้ถวายพระบาทสมเด็จ ฯ และเพื่อชาติของเรา จนพ้นภัยคอมมิวนิสต์มาได้ ขอให้ดวงวิญญาญของท่านไปสู่สุคติครับ

วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ถือผิว แยกความเชื่อ สไตล์ใหม่

ไม่ว่าโลกจะทันสมัยขึ้นเท่าใด ร้อยรัดรู้เรื่องของต่างวัฒนธรรมลุ่มลึกขนาดไหน มนุษย์จำนวนไม่น้อยก็ยังมีจิตใต้สำนึกในเรื่องการถือแบ่งมนุษย์ด้วยกันอยู่นั่นเอง เพียงแต่ว่าอาการของการเหยียดเชื้อชาติ ศาสนา เผ่าพันธุ์ในปัจจุบันนั้น ต้องทำอย่างมี”ชั้นเฃิง” ไม่งั้นจะถูกมองว่าไม่ศิวิไลซ์ ในสังคมที่ไม่เคร่งครัดเท่าไหร่ อาการนี้จะไม่ค่อยปกปิด แต่ในสังคมตะวันตกที่อ้างว่ายึดถือคุณค่าแห่งสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียมกันแล้ว การแสดงออกเรื่องนี้สู่สาธารณะเป็นประเด็นถือสาขนาดหนัก แต่ก็ใช่ว่าไม่มี

ถ้าเปรียบเทียบกับบางชาติในเอเชียที่ชอบพูดเรื่องโจ๊กเกี่ยวกับผิวคล้ำ ตาตี่ หรือบ้านนอกแล้ว ฝรั่งทำเช่นนั้นไม่ได้ เพราะจะถูกมองว่าเป็นพวกเหยียดผิว ฟาสซิสท์ หรือนาซี ไปทันที ทั้งยังโดนทั้งกฏหมายทั้งปทัสฐานสังคมเล่นงานอีกมาก ดังนั้น คนที่ยังยึดถือเรื่องนี้อย่างหนักจึงต้องมีการแสดงออกที่ “เนียน” ขึ้นกว่าในอดีต ที่กำลังเป็นเทรนด์อยู่ในเวลานี้ ก็คือ การปฏิเสธว่าการล้างเผ่าพันธ์ชาวยิวในสมัยฮิตเลอร์นั้นไม่มีจริงหรือเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย (โฮโลคอสต์ ดินายอัล) มีนักเขียน นักการเมืองหลายคนทั้งฝรั่งและอาหรับเจอข้อหาดังกล่าว จริงอยู่ที่ชาวตะวันตกอ้างสิทธิส่วนบุคคลในความคิด แต่หากใครไม่คิดเห็นใจชาวยิวหรือไม่เกลียดชังฮิตเลอร์แล้วล่ะก้อ มีอันโดนปะหน้าว่าเป็นพวกเหยียดเชื้อชาติทันที คงคล้ายกับการยัดข้อหาไม่รักชาติรักสถาบันให้กับคนบางกลุ่มในประเทศของเรา

สัปดาห์ที่ผ่านมามีเหตุการณ์ที่เหยียดความเชื่ออย่างมีชั้นเชิง 2 เรื่องที่เป็นแรงบันดาลใจให้เขียนบทความนี้ เรื่องแรกคือ นายเกิร์ต วิลเดอร์ สส.ขวาจัดของฮอลแลนด์จะเดินทางไปอังกฤษตามคำเชิญของสมาชิกสภาขุนนางที่นั่น สื่อมวลชนแสดงความกังขาที่คราวนี้ รมว.มท.ของอังกฤษจะไม่ห้ามเขาเข้าประเทศ ทั้งที่เคยห้ามมาคราวนึงแล้ว วิลเดอร์ ต้องคดีที่ฮอลแลนด์ข้อหาปลุกปั่นให้คนเกลียดชังกัน เนื่องจากเขาพยายามโยงคัมภีร์ของบางศาสนาเข้ากับการก่อการร้าย แล้วถึงขนาดรณรงค์ให้ยกเลิกการสวมผ้าคลุมหน้าของสตรีในศาสนานี้ด้วย แน่นอนว่าวิลเดอร์ต้องอ้างว่าเขารักสงบและไม่ได้ต่อต้านศาสนานี้ เพียงแต่เห็นภัยของกระบวนการนำศาสนานี้รุกคืบเข้าคุกคามสังคมตะวันตก ถึงแม้แนวคิดของวิลเดอร์จะเป็นวิชาการแต่คนทั่วไปก็เห็นว่านี่คือการเหยียดศาสนา

อีกรายคือ นายคีธ บาร์ดเวล ผู้พิพากษาผิวขาวของหลุยเซียน่า ประกาศว่าเขาไม่ยอมรับรองให้คู่สมรสที่มีผิวไม่เหมือนกันจดทะเบียนเด็ดขาด เขาอ้างว่าเห็นใจลูกของคนต่างผิวที่จะเกิดมาแล้วจะไม่ได้รับการยอมรับทั้งสังคมขาวและสังคมดำ ใต้เท่าผู้นี้อ้างว่าเขาไม่ใช่คนเหยียดผิวและอกทะเบียนสมรสให้ขาว-ขาว ดำ-ดำ มานับไม่ถ้วน แต่เขาว่าอยู่สังคมผิวใดก็ผิวนั้น อย่าข้ามสายพันธุ์เป็นดีที่สุด แน่นอนว่ากำลังมีคู่สมรสต่างผิวยื่นฟ้องว่าความเชื่อส่วนตัวของบาร์ดเวลละเมิดกฏหมายสหรัฐ ฯ


คมชัดลึก 16 ตุลาคม 2552

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

อย่ายอมให้ฮุน เซ็น ข่มขู่

เมื่อ 5 ตุลาคม ก่อนเกิดกรณีทักษิณเป็นที่ปรึกษาเขมร และก่อนเกิดกรณีวิวาทะอภิสิทธิ์-ฮุนเซ็น ที่ภูเก็ต ผมเขียนบทความลงคมชัดลึก ให้รัฐบาลที่หงอกัมพูชาเหลือเกิน อย่ายอมให้ฮุน เซ็น ข่มขู่ เวลานี้รัฐบาลไม่หงอแล้ว แต่ใช้เหตุผลแข็งต่อกัมพูชาได้ผิดฝาผิดตัวเหลือเกิน ซึ่งเป็นเหตุผลที่ไม่ได้แก้ปัญหาความมั่นคงระหว่างสองชาติ แถมยังเป็นชนวนวุ่นวายระหว่างสีในกรุงเทพเสียอีก

บทความที่ผมเขียนตอนนั้นว่ารัฐบาลควรทำอย่างไร ขอลงให้อ่านครับ


อย่ายอมให้ฮุนเซ็นข่มขู่




ใครที่เป็นคนไทย ได้อ่านบทความของ นสพ.รัศมีอังกอร์ และสื่ออื่นๆ ที่นำคำพูดของ ฮุน เซน ผู้เรืองอำนาจสูงสุดแห่งกัมพูชาแล้วก็คงรู้สึกเจ็บร้อนแทนชาติของเราทั้งนั้น นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เขมร ชาติลูกไล่ของไทยในอดีต


แสดงอาการไม่เห็นหัวเพื่อนบ้านแห่งนี้ นอกเหนือจากการอดกลั้น เราน่าจะทำการตอบโต้กัมพูชาบ้าง เพื่อไม่ให้ความเสื่อมศรัทธาในผู้มีอำนาจตัดสินใจของฝ่ายไทยและสิ้นขวัญกำลังใจในหมู่พวกเรากันเองจะขยายกว้างออกไปกว่านี้


ในความเป็นจริง สิ่งที่ ฮุน เซน พูดนั้นก็มีเหตุผลอยู่หลายประเด็น โดยเฉพาะการที่ฝ่ายไทยเองเอาประเด็นเรื่องเขาพระวิหารไปเป็นเครื่องมือเล่นงานทางการเมืองภายในประเทศ จนพันมาถึงเขมรด้วย แต่ขณะเดียวกัน เขมรก็อาศัยปรากฏการณ์นี้ขยายฮุบดินแดนที่ไทยมัวแต่อ้างว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อน


หากสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้ คือ ไทยมัวนิ่งเฉย ไม่รู้จะทำยังไงดี เขมรก็จะรุกคืบครอบครองจุดยุทธศาสตร์ชายแดนได้หมด เกียรติภูมิฝ่ายไทยที่ด้อยลงจะยิ่งเร่งให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งภายในประเทศขึ้นอีก เวลานี้ก็เห็นแล้ว ว่าบางกลุ่มก็ไม่พอใจทางการที่ไม่ตอบโต้เขมรเสียที บางกลุ่มก็ไม่พอใจพวกกลุ่มแรกที่เหมือนกับจะกระตุ้นภาวะคลั่งชาติ ในเมื่อไร้สามัคคีอย่างนี้ ไม่มีทางแก้ปัญหาอะไรได้


รัฐในฐานะผู้ที่มีภาระโดยหน้าที่ให้แก้ไขปัญหานี้ควรทบทวนนโยบายกับฮุน เซน เสียใหม่ จริงอยู่ การเจรจาโดยสันติ ไม่ใช้กำลัง ผ่อนปรนเข้าหากันนั้นเป็นสิ่งที่ต้องดำเนินต่อไป แต่ต้องหยุดความกร่างของฮุน เซน เสียบ้าง แนวคิดนี้คนข้างตัวนายกฯ เอง สมัยที่เป็นนักวิชาการก็คิดว่าต้องหยุดฮุน เซนเสียก่อนที่จะได้ใจแล้วไปไกลกว่าเหมือนกัน


ประการแรก คือ เลิกประจบในเรื่องที่ไม่จำเป็น เช่น การส่งคืนโบราณวัตถุหรือให้เงินกู้สร้างถนน สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งควรทำในยามปกติ แต่ในภาวะอย่างนี้มีแต่จะทำให้เกิดการได้คืบจะเอาศอก ทำให้ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกฮึกเหิมว่าตนเหนือกว่า ขณะที่ฝ่ายเดียวกันมองดูตนเองว่าอ่อนแอ


ประการต่อมา คือ ต้องตอบโต้ด้วยคำพูดแรงๆ ใส่กัมพูชาบ้าง อย่าไปกลัวว่าสิ่งนี้จะนำไปสู่สงคราม ข้อดีของการทูตโทรโข่งก็คือ ในเมื่อต่างฝ่ายต่างตระหนักว่าอีกฝ่ายก็ไม่ยอมเป็นเบี้ยล่าง การกระทำใดๆ ที่ไม่เหมาะควรก็จะไม่ผลีผลาม ทั้งยังเป็นการกระตุ้นขวัญกำลังใจฝ่ายเรา เราต้องแสดงว่าไม่กลัวกัมพูชา คุยกันในเวทีไหนก็ได้ ไทยเรายังมีมิตรในประชาคมโลกมากกว่าประเทศนี้ หรือไม่จริง และถ้าเป็นไปได้ ก็หาทางล้มเลิกบันทึกความเข้าใจร่วมปี 43 เสียด้วย

วันเสาร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

แสบจริง ๆ อภิสิทธิ์ กรณีเขมร

ผมเป็นคนหนึ่งที่เรียกร้องมาตั้งแต่ต้น เรื่องให้กร้าวต่อเขมร อย่ายอมให้ฮุนเซ็น ข่มขู่ เพราะเขมรเข้ายึดพื้นที่ทับซ้อนไปแล้วตั้งแต่ต้นปี แต่รัฐบาลก็เฉย แถมยังไปส่งบรรณาการให้เขาอีก

พอมาวันนี้กลับจะฮึ่มกับฮุน เซ็น แต่ก็ด้วยข้ออ้างไร้สาระสิ้นดีคือ ทักษิณไปเป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจให้เขา


มองเกมออกว่า รัฐบาลไม่ได้กล้ากับเขมรมาตั้งแต่ต้น แต่โดนพวกพันธมิตรรุกไล่จนต้องทำตาม ขณะเดียวกันก็จะฉวยโอกาสได้เล่นงานทักษิณ เอากระเเสนิยมเสียด้วย โดยแท้จริงแล้ว ก็หวังว่าเรื่องจะหยุดอยู่แค่ทางการทูตนี่แหละ ไม่ต้องรบจริง

นี่คือไพ่ที่ผู้นำไทยกำลังเล่น แต่เสี่ยงเหลือเกิน เพราะหากคู่แข่งไม่เดินเกมตามนิดเดียวมีหวังเจ๊งคากระดาน

อะไรบ้างที่เสี่ยง

ข้อแรกคือ การปะทะอาจเกิดขึ้น เล็กน้อยรัฐบาลไม่กลัว แต่หากขยายตัวล่ะ ดูแถลงการณ์ของรัฐบาลที่กล้า ๆ กลัว ๆ ไม่อยากให้ทั้งสองประเทศโกรธกัน แต่มันก็โกรธกันไปแล้ว เพราะไปปลุกกระแสคลั่งชาติเข้า กองทัพฮุนเซ็น ที่เติมกำลังหนาแน่น อาจบุกไทยเมื่อไหร่ก็ได้ ความสูญเสียก็จะตามมา

ข้อสอง เศรษฐกิจไม่สูญเสีย เเค่ประกาศก็พังไปเท่าไหร่แล้ว แค่ช่วงสั้นรัฐบาลรับได้ แต่ที่น่าห่วงคือ ความเชื่อมั่นระยะยาวที่เขมรไม่ต่อสัญญาคู่ค้าไทย โดนประเทศที่สามคว้าธุรกิจไป นี่สิยาว

ข้อสาม ไทยจะไม่เสียดืนแดน ถ้าเขมรกลัวหรือการดำเนินการทางกฏหมายจำพวกยกเลิก MOU ต่าง ๆ เป็นผลก็โอเคไป แต่เกรงจะไม่เป็นอย่างนั้น เพราะไทยจะอ้างอะไรก็ว่าไป แต่ทางพฤตินัยเขมรไม่ออกจากพื้นที่ทับซ้อนชายแดน ทั้งยังไม่ต้องเคารพข้อตกลงทางทะเลอีก เราจะบังคับเขาด้วยอะไร

ข้อสี่ คนไทยรักชาติ เชียร์ประชาธิปัตย์ เสื้อแดง-ทักษิณจ๋อย นี่คือสิ่งที่ประชาธิปัตย์หวังสุด แต่นั่นหมายถึงรัฐบาลต้องกร้าวต่อเนื่องแบบมีเหตุมีผล แต่หากอ่อนยวบให้ฮุนเซ็นเข้าอีก คนครึ่งประเทศก็ไม่เชียร์ ส่วนคนอีกครึ่งประเทศเขายิ่งเกลียดชังแตกร้าวหนักขึ้น รัฐบาลว่าขวา เขาว่าซ้าย รัฐบาลว่าใต้เขาว่าเหนืออยู่แล้ว

ข้อห้า พวกที่เคยหนุนหลังประชาธิปัตย์อย่างพวกพันธมิตร หรือ สว.สรร หรือใคร ๆ ยังเหนียวแน่นต่อรัฐบาลต่อ แน่ใจหรือครับ เพราะหากอภิสิทธิ์ไม่กล้าเล่นงานฮุนเซ็นไปกว่านี้ เขาก็จะยิ่งถล่มรัฐบาลหนักขึ้น

ในเมื่อเลือกเล่นเกมเช่นนี้แล้ว ถึงอย่างไรก็ขอเอาใจช่วยว่า ให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติสูงสุด มีสันติภาพ ได้รับการเคารพในทุกมิติจากเพื่อนบ้าน และประชาชนไม่เดือดร้อน ถ้าทำได้ก็โอเคครับ ถ้าผิดไปจากนี้ ใครควรถูกประณามก็คงรู้นะครับ

วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

รำลึกนวมทอง ไพรวัลย์

เขาไม่เคยเป็นผู้นำใคร นอกจากครอบครัวเล็ก ๆ หาเช้ากินค่ำ เขาไม่ค่อยมีสมบัติอะไร นอกจากแท๊กซี่ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเช่าคนอื่นขับหรือเปล่า เขาเกิดมาอย่างยากจน ด้อยค่า แม้แต่ตายก็ตายอย่างโดดเดี่ยว แขวนคอตนเองบนสะพานลอย การทำศพก็ลวกเต็มที ดูเหมือนจะไม่มีอะไรดีเลยสำหรับชีวิตคน ๆ นี้

แต่การตายของเขากลับจุดประกาย ความรักประชาธิปไตยอย่างล้นเหลือให้กับบ้านเมือง และทำให้ชื่อ ตลอดจนการกระทำของเขานั้นไม่มีวันละลาย กลายเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณให้กับผู้ไม่เห็นด้วยกับเผด็จการไปตลอดตราบที่ยังมีประเทศไทยอยู่

ใครจะชื่นชมกับการปฏิวัติ 19 ก.ย. ก็ช่างเขา ใครจะเกลียดชังทักษิณก็ช่างปะไร แต่ไม่มีใครกล้าดูถูกน้ำใจลุงนวมทอง ที่กล้าตาย เพื่อแสดงให้โลกรู้ว่า เขารับไม่ได้กับผู้ปกครองประเทศที่มากับการรัฐประหาร

น้ำใจนักสู้นี้ เชื่อว่าแม้แต่ทหารเองก็ยังคารวะ พี่อัคร ที่พูดผิดไปประโยคเดียว จนนำมาสู่การเสียชีวิตของลุงนวมทองคงร้าวรานใจกว่าเพื่อน


ในทางพุทธ ฆ่าตัวตายนั้นบาปหนา แต่การฆ่าตัวตายเพื่อประโยชน์แห่งมนุษยชาตินั้น ถึงตกนรกแต่มนุษย์ก็ยกย่อง เช่น สืบ นาคะเสถียร ทำให้คนหันมาสนใจรักษาป่าห้วยขาแข้งจากพวกนายทุนโจร ลุงนวมทองสำคัญเสียยิ่งกว่า เพราะทำให้คนมหาศาลต่อต้านเผด็จการยาวนานจนวันนี้

คนที่ว่าลุงนวมทองบ้า ทำเพื่อเงิน หรือเป็นขี้ข้าระบอบที่ไม่จงรักภักดี ต้องไปดูใหม่ในรายละเอียด คนบ้าไมสติสัมปัญชัญญะพูดคุยและเขียนจดหมายลาตายได้อย่างมีตรรกะ ไม่มีคนที่ทำเพื่อเงินคนใดกล้าเอารถเก๋งไปชนรถถัง และไม่มีคนที่ไม่จงรักภักดีคนใด เขียนหัวจดหมายว่า เขาขอตายเพื่อ "ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์"

คนที่อ้างมีจงรักภักดีต่อสามสถาบันหลักกว่าลุงนวมทอง มีใครกล้าทำอย่างท่านไหม


นี่คือวีรบุรุษ ที่ไม่ต้องเทียบกับใคร และได้รับการนับถืออย่างแท้จริง


นอกจากลุงนวมทองแล้ว คนที่ยังไม่ตาย แต่ผมนับถือว่าเป็นนักสู้เพื่อประชาธิปไตยของจริง มีอีก 2 คนคือ คุณฉลาด วรฉัตร และคุณประพันธ์ กมลเพ็ชร ทั้งคู่ ถ้าซื้อได้ เขารวย เขาเลิกประท้วงไปนานแล้ว แต่ที่เขาทำเช่นนี้เพราะอุดมการณ์น่ายกย่องครับ

วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2552

อาเซียนส่งสัญญาณประท้วงเงียบไทย

การที่จัดการประชุมระดับนานาชาติแล้ว ผู้เข้าร่วมประชุมระดับตัวแทนประเทศ ไม่ยอมมาร่วมพิธีเปิดนั้น เป็นเรื่องผิดปกติ และรับรู้ในแวดวงการทูตดีว่านั่นเจ้าภาพเจอประท้วงเข้าแล้ว

ไม่เคยเลยครับ ที่งานใหญ่ระดับอาเซียน อียู หรือเอเปค จะไม่มีผู้นำประเทศจู่ ๆ ก็ไม่มาร่วมพิธีเปิดอย่างกะทันหัน เว้นแต่จะประท้วง เช่น อเมริกากับฝรั่งเศสไม่ไปร่วมพิธีเปิดโอลิมปิคที่จีนเพราะไม่พอใจกรณีจีนปราบซินเจียงปีก่อน

ดูเหตุผลที่ทั้ง อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อ้างนั้นเเก้เก้อและไม่น่าเป็นไปได้ ไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งรัฐบาลบ้าง ดูแลงบประมาณบ้าง รับมือภัยไต้ฝุ่นที่ยังมาไม่ถึงบ้าง ยิ่งกัมพูชาเบี้ยวดื้อ ๆ ไม่บอกเหตุผล โธ่ งานอาเซียนเขาเตรียมกันมานานแล้ว ไม่ใช่พึ่งรู้ ถ้าติดธุระสำคัญจริง ๆ ตัวเองต้องรู้ก่อนและประสานไทยให้เลื่อนกำหนดเวลาให้ดี ถ้าไทยเลื่อนให้ไม่ได้ ก็ส่งรองผู้นำมา

แต่นี่คงธุระไม่สำคัญ เพราะอีกวันนึงก็มากันพร้อมเพรียง นั่นหมายถึงการไม่ยอมมาจับมือพิธีเปิดนั้นเป็นเพียงการแสดงสัญลักษณ์ ยังไม่ถึงกับขัดแย้งขนาดเลิกคบ เป็นเเค่เตือนไทยให้อยู่กับร่องรอยวิถีอาเซียน

ไม่อยากบอกว่าไทยไปทำอะไรให้ประเทศเหล่านี้ไม่พอใจหรือเปล่า แต่เรื่องการผลักดันอาเซียนชาร์เตอร์นั้นมีความไม่ลงรอยกับอินโดนีเซียบ้าง ไม่รู้ว่ามาเลเซียถูกกดดันจากปัญหาชายแดนใต้ของไทยโดยเฉพาะการยิง 10 ศพมัสยิดหรือเปล่า ประธานาธิบดีของฟิลิปปินส์ก็เป็นเพื่อนทักษิณ กัมพูชายิ่งไม่ต้องพูดถึง

กระทรวงการต่างประเทศรู้เรื่องบอยคอตต์นี้ไหม รู้สิ ทำไมจะไม่รู้ แต่ก็ทำใจดีสู้เสือ คิดว่าเดี๋ยวต้อนรับดี ๆ ก็จบ ไม่ใช่แค่นั้นหรอกครับ ตราบใดที่ไม่แก้เรื่องรากของปัญหา ความแตกแยกจะเพิ่มขึ้น

สมัยก่อน สิงคโปร์จะถูกมองว่าเป็นตัวแทนของสหรัฐ ฯ ในภูมิภาค อินโด-มาเลย์-ฟิลิปปินส์ หวาดระแวงและเป็นตัวแทนปกป้องวิถีอาเซียน ส่วนไทยเป็นกลาง ๆ แต่สมัยนี้ เฮอะ ๆ ไทยกำลังแทนที่สิงคโปร์แล้ว และมีหรือที่สามประเทศนั้นจะไม่กระตุกเตือนไทย

วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เรียกร้องได้ แต่อย่าให้ประชาชนเดือดร้อน

ความขัดแย้งระหว่างสหภาพการรถไฟและรัฐ กำลังกลายเป็นการต่อสู้ที่สลับซับซ้อนและมีแนวโน้มว่าการแก้ไขปัญหาจะไม่จบลงง่าย ๆ เรามิพักต้องมากล่าวถึงความชอบธรรมที่ต่างฝ่ายต่างอ้าง เพราะถึงวันนี้ ประเด็นเรื่องความชอบธรรมนั้นพ้นวิสัยตีความไปแล้ว ใครเชียร์ฝ่ายใดก็จะเข้าข้างฝ่ายนั้นทุกเรื่องด้วยเหตุผลนานา และเห็นแย้งกับกับฝ่ายตรงข้ามทุกเรื่องด้วยเหตุผลนานา แต่ประเด็นมนุษยธรรมยังคงต้องเชิดชู


จริงอยู่ที่ ทุกความขัดแย้ง คู่กรณีควรระดมสรรพกำลังเต็มที่ ห้ำหั่นกัน ใช่เล่ห์เพทุบายสารพัด ไม่ต้องอายฟ้าดินอย่างไรก็ได้ เพื่อให้ชนะ แต่ก็ต้องยึดหลักมนุษยธรรมด้วย ไม่ใช่ให้ความต้องการมีชัยของตนเหนือทุกสิ่ง แม้แต่ความเดือดร้อนของผู้บริสุทธ์หรือความเวทนาต่อเพื่อนศัตรู


การศึกเวลานี้ก็เป็นเช่นนั้น การอ้างโน่น โจมตีนี่ ทำให้ทุกภาคส่วนเปียกปอน บาดเจ็บทางสังคมและเศรษฐกิจกันไปหมดแล้ว แต่นั่นยังเป็นผลกระทบโดยอ้อม ที่หากเข้าใจวิถีการต่อสู้แบบเต็มศึกของแต่ละฝ่าย ก็ยังพอกล้ำกลืนยอมทนได้ แต่ที่ไร้มนุษยธรรมโดยสิ้นเชิง คือการเอาความเดือดร้อนของผู้บริสุทธิ์มาเป็นเครื่องต่อรอง


ประชาชนไม่สมควรต้องมาเดือดร้อนกับการหยุดเดินรถ หรือที่อาจจะเกิดขึ้นต่อไป หากเรื่องบานปลาย ซึ่งก็พวกสหภาพเคยทำมาก่อนแล้ว เช่น การถูกตัดน้ำตัดไฟ และการปิดสนามบิน เพราะพวกเขาไม่เกี่ยวอะไรด้วย อย่ามาอ้างว่าให้เสียสละ หรือทนเอาหน่อย เพราะไม่ว่าฝ่ายใดก็ไม่มีสิทธิบังคับเขา ไม่ใช่ว่ามีอำนาจในมือแล้วจะทำอะไรกับใครก็ได้ หากดื้อดึงทำไป ในอนาคตเมื่อประเด็นอย่าง เช่น มีความพยายามแปรรูปรัฐวิสาหกิจปรากฏขึ้นอีก ประชาชนอาจแก้แค้นเอาก็ได้

วันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ไม่เชื่อมั่นประเทศไทย

ดูจากสถานการณ์เหล่านี้แล้ว ใครที่คิดว่ารัฐบาลประชาธิปัตย์จะอยู่ยาวอีก 2 ปี เศรษฐกิจไทยจะดีขึ้นทั่วหน้า ไม่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ก็เถียงได้เลย

- ข่าวการโกงกินอย่างมโหฬารรูปแบบเดิม คือ โกงเงินแผ่นดินเข้ากะเป๋าตัวเองกลับมาอีกครั้ง อย่างหน้าด้าน การโกงชาติแบบนี้ พวกต่อมจริยธรรมสูงใบ้กันเป็นแถบ ๆ เพราะตัวเองแอบเชียร์อยู่ แต่ถ้าคิดว่าการโกงเข้มแข็งแบบนี้จะทำให้ประเทศเจริญขึ้น ประชาชนอยู่ดีมีสุขขึ้น ก็เพ่อเจ้อชัด ๆ เพราะจะมีแต่พวกกันเองเท่านั้นที่รวย ไม่ขยายโอกาสให้คนอื่นได้จริง ในที่สุดก็จะต้องมีคนมาหยุดการโกงชาติเช่นนี้

- พวกโกงย่อมไม่มีสัจจะ บางอย่างแบ่งกันได้ก็แบ่ง แต่ถ้าสมบัติมันชิ้นเดียวกัน หรือขวางทางกันก็ต้องยุ่ง ดูจากตอนนี้ที่แย่งกันโกงทั่วทุกตำบล ก็พอมองอกว่าเดี๋ยวพวกนี้ได้กัดกันหนักกว่านี้แน่ ที่รอก็คือ ผู้คุ้มกฏที่กำลังทะยอยแต่งตั้งมาคุ้มครองการโกงของฝ่ายตัว การทะเลาะเบาะแว้งเรื่องนี้จะบานปลาย การไม่บังคับใช้กฏหมายกับพวกตัวเองที่โกงก็จะทำให้วุ่นไปทั่วทุกอำเภอ

- กลุ่มเสื้อแดงแรงไม่ตก ที่เห็นประท้วงได้ทุกเดือน คนที่อ้างว่าซื้อมาหรือโดนจูงมานั้นต้องกลับไปเช็คต่อมอคติ จริง ๆ แล้วที่เห็นนั้นยังเป็นแค่ส่วนเดียว คนเสื้อแดงกระจายไปทั่วประเทศแล้วและกำลังจัดระบบอย่างเข้มแข็ง สิ่งที่พวกเขาเคยขาด เช่น ความเป็นวิชาการ ความหลากหลายของการนำเสนอ หรือตัวดี ๆ เข้าร่วมนั้นกำลังได้รับการปรับปรุง ผ่านทางพรรคเพื่อไทยภายใต้พลเอกชวลิต ส่วนฝั่งตรงข้ามทำอะไร พวกนั้นดันเพิ่มจำนวน เพิ่มความเกลียดชังในหัวใจให้คนเสื้อแดงเพิ่มขึ้นทุกวัน ไล่ตั้งแต่ตัวเล็กอย่างเทพไท มายังตัวใหญ่ที่พึ่งออกมาแถลงข่าววันก่อน แล้วยังงี้จะไม่ให้คิดว่าความขัดแย้งระหว่างฝ่ายเสื้อแดงกับฝ่ายตรงข้ามจะซาลง เลิกกันไปในที่สุดล่ะหรือ

- พรรคประชาธิปัตย์กำลังเสียแนวร่วมเสื้อเหลือง ลำพังพรรคพันธมิตรนั้นไม่เท่าไหร่ แต่พวกรัฐวิสาหกิจที่เริ่มดูออกว่ารัฐบาลกำลังจะเข้าสู่แนวทางแปรรูป เอื้อประโยชน์ให้เอกชน แบบเดียวกับที่เซ็ทไว้ก่อนแล้สสมัยอดีตนายกชวน นั่นสิ จะทำให้เกิดเรื่องวุ่น ไม่จบไม่สิ้นกับสหภาพและเอ็นจีโอ ประชาชนเดือดร้อนรำคาญเพราะรถหยุดวิ่ง และอื่น ๆ เเล้วเรื่องนี้จะไม่เป็นระเบิดเวลาต่อไป และทำลายโอกาสของการพลิกฟื้นหรือ

- ในเมื่อต่างฝ่ายต่างไม่สามัคคี มีอัตตาและอำนาจคร่อมเลนกัน ด้วยผลแห่งรัฐธรรมนูญนี้ การตัดสินของฝ่ายตุลาการย่อมก่อให้เกืดผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน เหนือกว่าคำสัญญาเก้ ๆ กัง ๆ ของฝ่ายรัฐ กรณีอย่างมาบตาพุดบ้าง การพยายามยกเลิกอนุญาโตตุลาการรถไฟฟ้าบ้าง ย่อมเกิดเเรงกะเพื่อมออกต่างประเทศมหาศาล คิดว่าต่างชาติจะโง่หรือ

- ยุคนี้เป็นยุคที่เพื่อนบ้านเป็นศัตรูหมด ทั้งที่เราเป็นประธานอาเซียนแท้ ๆ ต้องโดนเขมรคุกคามด้วยวาจาบ่อยครั้ง ตรึงกำลังทหารกันอย่างน่ากลัว ทางพม่าก็โกรธ ไม่ให้ผู้ใหญ่ไปเยือนมาหลายเดือนแล้ว และไม่รู้ว่ามาเลเซียหรี่ตาแบบไหน โจรใต้เหิมแรงขึ้น สภาพการณ์เช่นนี้ ในโลกที่ความร่วมมือนานาชาติสำคัญมาก ไทยจะไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลยหรือ

- ปัญหา 3-4 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้นเป็นแค่ภาพลวงตาที่ไม่มีจริงหรือไง

-ข่าวลือสะพัด แล้วคนที่มีอำนาจดันเชื่อซะด้วย เช่น หุ้นตกระเนระนาด หรือเลื่อนแต่งตั้งหัวหน้าตำรวจจนบัดนี้ ไม่มีใครบริหารประเทศเจริญรุ่งเรืองได้ ภายใต้สังคมที่งมงายกับโหร กับเรื่องที่ไม่รู้ว่าจริงว่าเท็จ แต่มีค่าเท่ากับเรื่องจริง

เอาแค่ทั้งหมดนี่ก็อึ้งแล้วครับ ทางออกคือ เตรียมตัวรับแรงกะแทกให้ดีก็แล้วกันครับ

วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2552

การชุมนุม 17 ตุลา

การนัดชุมนุมขับไล่ครั้งใหญ่ของเสื้อแดงกลุ่ม”เอาเจ้า”ที่นำโดยวีระ มุสิกพงษ์ ในวันที่ 17 ต.ค. เป็นยุทธการที่ซ้ำซาก ล้าสมัย และไม่จำเป็น ในการปฏิบัติ ชัยชนะที่ต้องการนั้นยากที่จะมาด้วยวิธีการนี้ การปรับแผนใหม่และการรอจังหวะ น่าจะเป็นหนทางที่เหมาะสมกว่า

หลังจากการชุมนุมเสื้อแดงถึงจุดพีกสุดเมื่อ 8 เม.ย. แล้วไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้น การชุมนุมกลางถนนก็อยู่ในช่วงขาลง ในวันถัดมามวลชนกว่าครึ่งไม่กลับมา เพราะตระหนักว่ารัฐบาลไม่ลาออกด้วยวิธีการนี้แน่ ๆ ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมาไม่ได้รับการหนุนสู้ โดยนายวีระให้เหตุผลว่าไม่ต้องการให้เกิดการบาดเจ็บล้มตาย หากแต่นั่นคือการแพ้บลั๊ฟทางทหาร และมวลชนกลางถนนก็ไม่เพียงแค่หายไป แต่แตกแยกสายทางความคิดอย่างเป็นรูปธรรม

ในความเป็นจริงเสื้อแดงไม่ได้แพ้ ทั้งน่าจะเพิ่มจำนวนขึ้นตามการรับรู้สภาพการณ์บ้านเมืองที่รัฐบาลบริหารอยู่นี้ และยังมีการจัดระบบกระจายไปทั่วทุกแห่งมากขึ้น แต่ก็ยืนอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงมาขึ้นเช่นกัน ก็จริงที่พวกเขาต้องการล้มรัฐบาล ขับไล่อำมาตย์ แต่ก็รู้ด้วยว่าความสำเร็จนั้นไม่ได้มาจากการแสดงพลังแล้วแสดงพลังอีกแบบสองสามวันกลับ สถานการณ์เป็นเช่นเดิม แต่เงินในกะเป๋าพวกเขาร่อยหรอไปกับค่ารถ ค่ากินอยู่ เสียเวลาและงานการอาชีพ ครั้นจะให้แตกหักเห็นผลทันที คนที่มีสติก็จะยั้งคิดไม่พาตัวเข้าไปเสี่ยง ในเมื่อยังไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนั้น

การชุมนุมของนายวีระ มีผลทางจิตวิทยาต่อต่างประเทศในการแสดงให้เห็นอย่างต่อเนื่องว่ามีประชาชนจำนวนมากที่ไม่ยอมรับรัฐบาลชุดนี้ นั่นเป็นปัจจัยที่กระทบต่อรัฐบาลก็จริง แต่ไม่ใช่ปัจจัยหลักที่กำหนดว่ารัฐบาลจะอยู่หรือไป ไม่ต่างจากการที่ฝ่ายพันธมิตรยกทัพยึดจุดศูนย์ดุลของกรุงเทพเมื่อปีกลาย ทำขนาดนั้นยังไม่ชนะ สถานการณ์ที่พลิกผันได้นั้นขึ้นอยู่กับตัวเล่นไม่กี่คน และในตอนนี้ตัวเล่นเหล่านั้นกำลังมองเลยข้ามช็อทเสื้อแดงชุมนุมไปแล้ว

การเมืองที่กลายเป็นสามก๊ก ทำให้เสื้อแดงไม่จำเป็นต้องชนกับเสื้อเหลืองนอกสภา เพราะรัฐบาลก็มีศึกหนักกับฝ่ายอื่นอยู่แล้ว หากตกลงผลประโยชน์ไม่ลงตัว สร้างสภาพเศรษฐกิจสังคมให้ดีขึ้นไม่ได้ หรือมีเรื่องอื้อฉาวมากขึ้นจนกลุ่มที่หนุนหลังรับไม่ไหว การเลือกตั้งก็ต้องเกิดขึ้น เร็วหรือช้าเท่านั้น เวลานี้เสื้อแดงส่วนใหญ่กำลังเตรียมความพร้อมรับการเลือกตั้งอย่างมีระบบ มีองค์ความรู้ และด้วยสันติ จึงน่าจะเป็นการเหมาะที่พื้นถนนน่าจะตกเป็นของกลุ่มผู้เดือดร้อนทางการเกษตรเข้ามาเรียกร้องสิ่งที่เป็นเรื่องเร่งด่วนของพวกเขาเสียมากกว่า

(บทความนี้ดัดแปลงเปลี่ยนแค่วันเวลาจาก "การชุมนุม 30 สิงหา ตีพิมพ์ในคมชัดลึก ก่อนวันชุมนุมที่ยกเลิกไปคราวนั้น)

วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2552

หรือต้องรอรุ่นต่อไปจึงสมานฉันท์

อ่อนใจครับกับสถานการณ์ความแตกแยกของบ้านเมืองนี้ เพราะมันถึงจุดที่คนหลายกลุ่มที่เป็นปฏิปักษ์กันยอมให้กันไม่ได้เลย พวกเขายอมจมน้ำตายร่วมกับศัตรูไปพร้อมกับโศกนาฏกรรมทางเศรษฐกิจที่กำลังร่ายระบำครอบกบาลอยู่นี้เสียดีกว่าจะปล่อยให้ได้ชื่อว่ายอมศิโรราบให้กับผู้มีความเห็นต่าง หรือว่าความเกลียดชังแบบเข้ากระดูกนี้จะไม่มีทางแก้จริง ๆ ต้องรอเวลาให้คนรุ่นต่อไปที่กระบวนทัศน์เป็นอีกแบบหนึ่งไปเลยเข้ามาเป็นผู้แก้


ปัญหาความแตกแยกนี้เป็นปฏิกิริยาสัมพันธ์กับความเสื่อมทรามของระบบ ตราบใดที่เศรษฐกิจสังคมยังดี เรื่องพวกนี้ก็พอจะซุก ๆ ไว้ได้ แต่หากถึงยุคนี้สภาพการณ์มันแย่จริง ๆ ปัญหาก็ปะทุออกมา โทษกันไปว่าฝ่ายของแกนั่นแหละเลว ขายชาติ คอรัปชั่นและอีกร้อยแปด และจะไม่มีวันยอมรับศัตรูเลย เพราะถ้ายอมรับก็เกรงว่าสถานการณ์มันจะแย่ลงไปอีก ต้องเป็นฝ่ายฉันเท่านั้นที่จะแก้ปัญหาได้


นึกถึงตัวอย่างสองประเทศที่ผู้คนเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรมกันไปแล้ว ด้วยการผ่านประสบการณ์กาลเวลา นั่นคือเวียดนามกับรัสเซีย ประเทศแรกนั้นเคยรบกันเองเป็นสงครามระดับโลกมาแล้วเมื่อสี่สิบปีก่อน คอมมิวนิสต์ฝ่ายเหนือชนะประชาธิปไตยฝ่ายใต้อย่างเด็ดขาดในปี 2518 คนฝ่ายใต้ตายกันเป็นรุ่น พวกที่อพยพไปอยู่อเมริกาก็เป็นฝ่ายใต้ทั้งนั้น คอมมิวนิสต์เวียดนามก็มะงุ่มมะหงาปกครองกันอย่างจน ๆ ไป เพราะชาวญวนในอเมริกาคอยล็อบบี้ฝรั่งให้กดดันคว่ำบาตรเวียดนามตลอด

เคยมีข่าวว่าญวนคนหนึ่งที่เดินทางไปอเมริการอบหลัง ๆ เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจย่ำแย่ แต่หมอนี่ชอบระบอบคอมมิวนิสต์ ถึงกับเอารูปโฮจิมินท์มาติดร้านขายของ ผลคือชุมชนชาวญวนในลอสแองเจลิสประท้วงอย่างหนัก แต่ในวันนี้ที่ทุกอย่างในเวียดนามเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ไม่ว่าญวนคนไหนก็แสดงออกถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันด้วยความรักชาติ พวกที่เคยทะเลาะเบาะแว้งกันรุ่นโน้นเก็บเข้ากรุหมด


รัสเซียยุคปี 90 ที่โซเวียตล่มสลายก็แตกแยกกันขนาดหนัก ระหว่างพวกนิยมคอมมิวนิสต์ที่เห็นว่าทุนนิยมกำลังจะมาเข้าครอบประเทศกับพวกหัวสมัยใหม่ที่เห็นว่าพวกฝ่ายซ้ายคือผู้ฉุดลากทำลายชาติตัวจริง ความรู้สึกแบบนี้มีมาจนถึงช่วงสิ้นยุคแรกของวลาดิเมียร์ ปูติน แต่วันนี้ที่เศรษฐกิจรัสเซียดีขึ้น ขณะที่ภาพถูกกลั่นแกล้งจากชาติตะวันตกชัดเจนขึ้น ชาวรัสเซียที่ทะเลาะกันนั้นหายไปอยู่ใต้พรมหมด ไปที่ไหนก็เจอแต่คนรักชาติ ประเทศกลับมามีรอยยิ้มอีกครั้ง

สองกรณีนี้ต่างใช้เวลาไปกรณีละไม่น้อย หรือคนไทยอาจจะต้องเป็นแบบนั้น

คมชัดลึก (ไม่ใช่คมชักลุก) 22 มี.ค.52

วันพุธที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2552

พับแผนขีปนาวุธจ่อคอหอยรัสเซีย

งงกันไปตาม ๆ กัน หลังจากที่รัฐบาลประธานาธิบดีบารัค โอบามา ชะลอโครงการติดตั้งขีปนาวุธให้ยุโรปที่อ้างว่าไว้ดักจรวดอิหร่านเอาไว้ก่อน นี่เป็นเรื่องใหญ่ที่อาจพลิกทั้งโฉมหน้าความสัมพันธ์กับทั้งรัฐบาลเตหะรานและทำเนียบเครมลิน พิราบที่โบยบินลดดีกรีความวิตกของโลกได้ขีดใหญ่ แต่ไม่ใช่ที่ยุโรปตะวันออกเป็นแน่


โครงการนี้กำกวมและเป็นที่ถกแถลงมาตั้งแต่ต้น รัฐบาลสหรัฐ ฯ ชุดก่อนที่จริงจังมากกว่าประเทศที่หนุนหลังการก่อการร้ายได้วางโครงการนี้ขึ้นมาตั้งแต่ปี 2545 โดยจะติดตั้งขีปนาวุธแบบสกัดกั้นไว้ที่โปแลนด์ 10 ลำทำงานตามสั่งควบคู่กับสถานีเรดาร์ที่สาธารณรัฐเช็ค ประเทศที่อยุ่ติดกัน เหตุผลที่ทำเนียบขาวใช้ก็คือ มีเพื่อป้องกันการชิงโจมตียุโรปก่อนของอิหร่าน ปรปักษ์ตัวเอ้ที่มีรายงานว่ากำลังลอบผลิตขีปนาวุธพิสัยไกล ซึ่งถ้าหากติดหัวรบนิวเคลียร์ได้ด้วยจะยิ่งไปกันใหญ่ ที่รัฐบาลจอร์จ บุช วิตกจริตขนาดนี้เนื่องจากเวลานั้นอิหร่านมีทีท่าก้าวร้าวจริง ๆ ทั้งแทรกแซงอิรัก ทั้งด่ายิว และทั้งดื้อแพ่งเรื่องนิวเคลียร์ ปีกลายก่อนบุชจะอำลาตำแหน่งก็เซ็นต์อนุมัติโครงการขีปนาวุธยุโรปนี้ให้เดินหน้าจริงในทางปฏิบัติ


ใครก็มองออกว่าภัยคุกคามยุโรปที่จะมาจากทางอิหร่านเป็นเรื่องน่าหัวเราะ แต่โครงการนี้น่าจะมีจุดมุ่งหมายเพื่อโอบล้อมรัสเซีย ซึ่งกำลังฟื้นตัวด้านการเงินและการทหาร จนสามารถแผ่อิทธิพลคุกคามอดีตรัฐบริวารไม่ให้แอบอิงชาติตะวันตกเสียมากกว่า ทำเนียบเครมลินไม่พอใจโครงการขีปนาวุธที่ผิดฝาผิดตัวนี้มาตั้งแต่ต้น จึงต่อต้านหัวชนฝา แต่รัฐบาลรีพับลิกันช่วงนั้นก็ทำเป็นไม่เข้าใจ ส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองยักษ์ใหญ่ตึงเครียด ส่งผลกระทบต่อสนธิสัญญาที่เคยลงนามกันไว้หลายฉบับ ที่รัสเซียจะไม่เอาด้วยแล้ว โดยเฉพาะด้านการลดอาวุธทั้งนิวเคลียร์ จรวดและกำลังตามแบบ ที่แสบสุดคือรัสเซียประกาศเคลื่อนขีปนาวุธพิสัยใกล้เข้าไปวางที่คาลินินกราดติดพรมแดนโปแลนด์ การปะทะอาจเกิดขึ้นหากโครงการขีปนาวูธยุโรปสำเร็จจริงปี 2555


โอบามา อ้างว่าที่ระงับแผนไว้ก่อนเพราะในระยะเวลาอันใกล้อิหร่านคงไม่สามารถสร้างขีปนาวุธพิสัยไกลได้ทัน เรื่องนี้ไม่ต้องวิจัยก็รู้ แท้จริงที่โอบามาทำเช่นนี้นั้นหมายจะสร้างมิติใหม่ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหลายเด้ง เขาอยากใช้แนวทางนุ่มกว่าบุชในการเจรจาแก้ไขปัญหานิวเคลียร์อิหร่าน ซึ่งจะส่งผลให้แผนสันติภาพปาเลสไตน์ฉบับใหม่ราบรื่นขึ้นด้วย ขณะเดียวกันก็โอบรัดรัสเซียด้วยไมตรี ลดทอนเงื่อนไขที่จะเกิดแบบจอร์เจียที่ดูยังไงหนทางดังกล่าวก็ล้มรัสเซียไม่ลง งานนี้ได้ใจชาวยุโรปที่โล่งอก ไม่ต้องเสี่ยงสงคราม แต่บรรดาผู้นำอดีตชาติคอมมิวนิสต์ยิ่งหายใจไม่ทั่วท้อง กรงรัสเซียจะสบช่องตีกินทีละชาติในเวลาต่อไป



คมชักลุก 22 กันยายน 52

วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2552

มหาตมะคานธี วีรบุรุษตัวจริง ไม่ใช่ตัวปลอม

วันนี้ 2 ตุลาคม ของทุกปีเป็นวันคล้ายวันเกิดบุคคลสำคัญสองคนสำหรับผม หนึ่งนั้นคือ คุณแม่ พลโทหญิงอุบลรัตน์ เมืองมั่น อีกคนคือ ท่านโมหันทาส กรมจันทร์ คานธี หรือมหาตมะ คานธี ที่คนทั่วโลกรู้จักดี

ถ้าเราจะหาวีรบุรุษตัวจริงสักคนหนึ่งในโลกของเรานี้ ไม่ใช่พวกที่มักยกตัวเองเป็นวีรบุรุษ หรือขุนทัพเกรียงไกร แต่จิตใจโหดร้ายยืนหยัดบนซากศพคนอื่นแล้วล่ะก้อ ชายร่างเล็กผู้นี้เลยครับ สุดยอดนักต่อสู้ตัวจริง ที่ต่อสู้ด้วยมือเปล่า แต่มีความสำเร็จชัดเจน ด้วยหลักการและอุทิศตนที่พิสูจน์ได้ ทั่วโลกยอมรับ


ท่านเป็นชาวฮินดู โดยกำเนิด เกิดมาในยุคอินเดียอยู่ใต้อาณานิคมอังกฤษ ท่านกลับมาอินเดียปี 1915 หลังสรางชื่อเสียงด้านสิทธมนุษยชนพอสมควรในแอฟริกาใต้ แล้วมาอังกฤษเพื่อรณรงค์ให้ชาวอินเดียรักกัน ร่วมกันปลดแอกจนอังกฤษให้เอกราชปี 1947 และอีกไม่กี่เดือนท่านก็โดนยิงตาย


ลำพังแค่ข้อมูลเท่านี้ หลายคนคงสงสัยหรือคิดว่าท่านก็แค่นักกู้ชาติธรรมดาคนหนึ่งใช่ไหมครับ แต่ทำไมท่านถึงดังไปทั่วโลก มีคนกราบไหว้นับถือบูชาท่านไม่ขาดสาย ล่าสุด ไทม์ ยกย่องให้ท่านเป็นบุคคลที่เด่นที่สุดของศตวรรษที่ 20 เป็นอันดับสองรองจากไอนสไตน์ด้วย


นั่นเพราะท่านมีหลักการ ท่านรังสรรค์หลักการสัตยาเคราะห์ที่ว่า สัจจะคือพระเจ้า หนทางไปสู่สัจจะนั้นคืออหิงสา ใช้อหิงสาด้วยความรักและเมตตา และต้องอุทิศตนอย่างจริงจัง


หลักการง่าย ๆ แต่ท่านทำจริงจังไม่สร้างภาพว่าตนเองมีคุณธรรม แต่เบื้องหลังโสมมไม่ต่างจากนักการเมืองทั่วไป ไม่ข่มขู่จะใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา พวกที่จะปราบท่านถึงกับต้องโยนปืนทิ้งมากราบท่าน ท่านรณรงค์ไม่ร่วมมือกับอังกฤษ อังกฤษก็เซ่อแด๊กยอมผ่อนปรนให้ท่าน เพราะมีมวลชนแขกร้อยล้านหนุนหลังท่านอยู่ ท่านพาคนเดินขบวนประท้วงเงียบแบบที่เรียกอารยะขัดขืนของจริง ไม่ใช่เดินไปด่าแม่ศัตรูไป หรือไปยึดสมบัติของรัฐเหมือนผู้ประท้วงบางกลุ่มของประเทศเพื่อนบ้าน อังกฤษมาขอคุยท่านก็คุยดี ๆ จนฝรั่งนับถือท่านหมด ที่ไหนเกิดสงครามระหว่างชุมชน ท่านก็เดินไปกินนอนที่นั่น ไม่ใช่เป็นผู้นำมาเกือบปีแล้วยังไม่กล้าลงพื้นที่ที่มีปัญหา ที่ไหนที่ท่านไปถึงสงครามก็หยุด คนมาคืนดีกัน ช่างมหัศจรรย์ยิ่งนัก


คนเชื่อถือท่านก็เพราะท่านทำจริงอย่างที่ว่า ท่านสอนใครตัวเองก็ทำก่อน หลักสรรโวทัยของท่านต้นแบบเศรษฐกิจพอเพียงทุกวันนี้นั้นสอนให้พึ่งตนเองก่อน ท่านก็หุงหาอาหารล้างส้วมเอง ทอผ้าห่อเอง ทำเกลือเอง ไปไหนก็ด้วยเท้าตนเอง ไม่ใช่รถเบนซ์ ไม่สะสมอะไรเลยนอกจากความดี ต่างจากคนบางพวกที่คำก็อ้างทำเพื่อพ่อ สองคำก็พอเพียง แต่รวยโคตรโลภโคตร

วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2552

สงครามตาลีบานในอัฟกานิสถาน

การตายของไบตุลลาห์ เมห์สุด ผู้นำที่มีชื่อเสียงที่สุดของขบวนการตาลีบานในปากีสถาน จากการโดนอากาศยานไร้คนขับของสหรัฐ ฯ ถล่มเมื่อปลายกรกฏาคม 52 คาที่มั่นของเขาในแคว้นวาซิริสถานตอนใต้ ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ความมั่นคงในภูมิภาคที่ยุ่งเหยิงนี้ดีขึ้นสักเท่าไร สหรัฐ ฯ ปากีสถานและพันธมิตร ยังอีกไกลกว่าจะไล่ตาลีบานออกไปจากประเทศได้หมด และช่วงนี้น่าจะโดนเอาคืนด้วยระเบิดฆ่าตัวตายอย่างหนักหน่วงด้วย


การสู้รบบริเวณพรมแดนปากีสถาน-อัฟกานิสถาน กำลังเป็นประเด็นสงครามนอกประเทศอันดับหนึ่งที่สหรัฐ ฯ และยุโรปให้ความสำคัญ ส่งคนเข้าไปตายอย่างต่อเนื่องในอัฟกานิสถาน แต่ปากีสถานนั้นเข้าไม่ได้ เพราะติดขัดข้อกฎหมาย แต่ครั้นรอให้ทหารปากีสถานกวาดล้างตาลีบานให้แทน ก็ไม่ได้ผลนัก เนื่องจากทหารปากีสถานเองก็มีไส้ศึกเห็นใจในตาลีบาน เชื้อสายปาทานเหมือนกัน และสภาพภูมิประเทศที่เป็นเขาเป็นถ้ำซับซ้อนมากมาย จนมีผู้คิดกันว่าผู้นำระดับสูงของตาลีบานและอัลไกด้า ต้องมาหลบอยู่ที่นี่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ตั้งแต่กลางปี 51 สหรัฐ ฯ จึงใช้โดรนหรือเรือเหาะไร้คนขับบินจากฝั่งอัฟกานิสถานเข้าไปทิ้งระเบิดในชุมชนบ้าง ถ้าบนภูเขาบ้าง ทำให้มีคนตายจำนวนมาก น่าเสียดายที่ ส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านผู้บริสุทธิ์


การกระทำเช่นนี้โดนประท้วงจากรัฐบาลปากีสถานว่าละเมิดอธิปไตยและไร้มนุษยธรรม แต่การประท้วงก็เป็นไปอย่างแกน ๆ เพราะรัฐบาลปากีสถานก็อยากให้กวาดล้างเสี้ยนหนามของตนอยู่แล้ว เรื่องนี้ถ้าโยงต้องพูดถึงตั้งแต่ยุคก่อตั้งประเทศที่โมฮัมเหม็ด อาลี จินนาห์แยกตัวออกจากอินเดียหลังแบ่งแยกประเทศกันในปี 2490 พรรคสันนิบาตมุสลิมของเขามีอิทธิพลแค่เพียงส่วนที่ติดกับอินเดีย แต่ส่วนที่ติดกับอัฟกานิสถานนั้นพวกชนเผ่าที่ไม่สนในธรรมนูญสมัยใหม่ยังมีอิทธิพลอยู่จนถึงทุกวันนี้ การที่ภูมิภาคนี้เป็นแหล่งบ่มเพาะนักสู้เคร่งศาสนาให้รบกับโซเวียตในอัฟานิสถานเมื่อ 30 ปีก่อน ทำให้ภูมิภาคนี้ยุ่งเหยิงหนักขึ้น และเป็นประตูบานสวยที่ส่งความรุนแรงระบาดทั่วทั้งเอเชียใต้


เวลานี้ปากีสถานกำลังรบหนักอยู่ทางเหนือของแคว้นนอร์ธเวสต์ฟร้อนเทรียร์ซึ่งอยู่ใกล้เมืองหลวงของตนมากกว่า และเชื่อว่าหากเอาชนะตาลีบานที่หุบเขาบริเวณนี้ได้ก็จะตัดแหล่งส่งกำลังบำรุงชั้นดีของตาลีบานคือเหมืองมรกตได้ ทำให้แคว้นวาซิริซสถานนั้นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกองกำลังประจำถิ่นควบคุมสภาพกันไป และการปลูกฝิ่นก็กระทำกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน ดังนั้นหากสถานการณ์รุนแรงขึ้น สหรัฐ ฯ อาจเข้ามาทางภาคพื้นดิน ไม่ใช่แค่ภาคอากาศเท่านั้น

คมชึดลึก 10 สิงหาคม 52

วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2552

แนะนำกรอบใหม่ขวามือ

เพื่อน ๆ พี่น้องครับ

ผมเพิ่มกรอบใหม่ทางขวามือใต้รูป เป็นลิงก์สำหรับบทความล่าสุดของผมที่ตีพิมพ์ในสื่อต่าง ๆ ความจริงน่าจะทำยังงี้ตั้งนานแล้ว เพราะผู้อ่านจะได้อ่านเรื่องที่ทันสมัย

ตัวลิงก์นั้นไม่ได้กดเเล้วเข้าไปเจอข้อเขียนทันทีนะครับ ท่านโปรดก๊อปลิงก์ ไปวางลงในช่องเบราส์ แล้วค่อยคลิ๊ก จึงจะอ่านได้ครับ เพิ่มขั้นตอนเพียงวินาทีเดียวเองครับ

ท่านที่สงสัยว่าทำไมผมไม่ก๊อปงานมาลงในบล็อกเอง ต้องให้ผู้อ่านลิงก์ไปทำไม ขอเรียนว่า ผมถือหลักการอยู่ข้อหนึ่งครับว่า ข้อเขียนที่ผมเขียนเพื่อเอาตังค์นั้น ต้องให้ประโยชน์แก่คนจ่ายตังค์ซะก่อน จนกว่าจะมีข้อเขียนชิ้นใหม่ไปป้อนเขา ดังนั้น ผมจะไม่ตีพิมพ์ข้อเขียนชิ้นนั้นในบล็อกพร้อมกับที่เนชั่นเอาลงในหนังสือพิมพ์ ซึ่งผมก็รอไม่นาน ผมก็เขียนชิ้นใหม่ให้เขาแล้ว แล้วผมถึงค่อยเอาข้อเขียนที่เป็นลิขสิทธิ์ของผมโดยสมบูรณ์นั้นมาลงในบล็อกครับ

หลักการนี้ ผมไม่รู้มีใครถือไหม แต่ผมถือ และคิดเอาเองอย่างภูมิใจว่า นี่คือการแสดงความซื่อสัตย์ต่อผู้จ้าง คนอ่านหนังสือพิมพ์ และคนอ่านบล็อก ด้วยครับ

วันพุธที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2552

ดาวสภา การประชุมสมัชชายูเอ็นวันแรก 23 ก.ย.(วันนี้)

เวียนกลับมาอีกครั้งสำหรับการประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยสามัญ ที่ปีนี้จะจัดขึ้นใน 23 -30 ก.ย.นี้ นับเป็นครั้งที่ 64 แล้วที่ผู้นำประเทศใหญ่น้อยสมาชิกขององค์กรระหว่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลกจะเดินทางไปโชว์ตัวที่มหานครนิวยอร์คและกล่าวสุนทรพจน์ให้โลกรับทราบว่าบ้านเมืองของตัวนั้นเป็นอย่างไร และมีวิสัยทัศน์อะไรเพื่อโลกใบนี้ นายกคนปัจจุบันของเราก็ไปโดยไม่กลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์เหมือนที่นายกอีกท่านหนึ่งโดนเมื่อปี 2549 แต่แน่นอนว่าคนที่จะโดดเด่นในฐานะดาวสภาของที่ประชุมนั้นคงมีไม่กี่คน


เนื่องจากที่ประชุมแห่งนี้เป็นโอกาสดีที่ผู้นำชาติใดก็ได้ เป็นศัตรูกับประเทศเจ้าของสถานที่ขนาดไหนก็ได้ มีโอกาสมาเยือนและด่าสหรัฐ ฯ ในห้วงเวลานี้ได้ทั้งนั้น ดังนั้นไฮไลท์ของการประชุมจึงไม่ใช่การที่สมัชชาจะมีมติอะไรออกมา แต่เป็นการคอยดูว่าผู้นำของชาติที่เป็นปรปักษ์กับชาติตะวันตกจะโคจรมาพูดเรื่องอะไร กระเทือนซางเจ้าภาพขนาดไหน


ในอดีต ดาวสภาที่สำคัญก็มีอาทิ ฟิเดล คาสโตร อดีตผู้นำคิวบาที่ใช้เวทีอย่างต่อเนื่องในการนี้ด่าจักรวรรดินิยมอย่างแสบสันต์ ในยุคหลัง ๆ ก็มีอูโก ชาเวซ ผู้นำเวเนซุเอล่า คอมมิวนิสต์เก่าผู้ที่ประกาศเป็นศัตรูกับสหรัฐ ฯ เมื่อปี 2549 เขาถึงกับด่าจอร์จ บุช ประธานาธิบดีอเมริกันในขณะนั้นกลางที่ประชุมว่าเป็นปีศาจ


มาห์มูด อมาดิเนจ๊าด ประธานาธิบดีปากกล้าของอิหร่านก็มาทุกปีมิได้ขาดตั้งแต่ปี ๒๕๔๘ และก็ใช้วาทะรุนแรงทุกทีเช่นกัน และจากการที่เขาเป็นผู้บริภาษยิงคนสำคัญจนถึงขั้นไม่ยอมรับเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิวในยุคฮิตเลอร์อยู่บ่อยครั้ง จึงทำให้ในปี ๒๕๕๐ ที่ประชุมยูเอ็นต้องมีมติประณามการไม่ยอมรับเหตุการณ์ดังกล่าวใน ปีนี้เป็นที่น่าสนใจว่าเขาจะขัดขวางแผนการสันติภาพยิว-อาหรับ รอบใหม่ที่ประธานาธิบดีบารัค โอบามา ผู้ที่จะมางานนี้เป็นครั้งแรกและจะประกาศหรือไม่


อีกคนที่เซอร์ไพรซ์ว่าจะมาคือ โมอัมมาร์ กัดดาฟี่ ผู้นำลิเบียที่ไม่เคยมาร่วมงานนี้เลยตลอด 40 ปีที่ครองอำนาจ แต่ปีนี้มีข่าวว่าจะมาขอกางเต็นท์นอนกลางสวนสาธารณะเซ็นทรับ พาร์กเสียด้วย ความสัมพันธ์ที่กลับมาแย่ลงอีกครั้งระหว่างลิเบียกับชาติตะวันตกกรณีรัฐบาลทริโปลีต้อนรับมือระเบิดแพนแอมกลับบ้านเยี่ยงวีรบุรุษ ทำให้กัดดาฟีผู้มีคารมคมกร้าวในอดีตได้รับการจับตามอง


ทั้งอมาดิเนจ๊าด กัดดาฟี โอบามา และผู้นำของทุกชาติสมาชิกถาวรคณะมนตรีความมั่นคงต่างมีคิวพูดวันเดียวกันคือ 23 ก.ย.งานนี้สปอตไลท์จับแน่ ทุกคนเป็นตัวจริงทั้งนั้น รวมทั้งหู จินเทาของจีนและดิมิทรี เมดเวเดฟของรัสเซียที่ปีนี้มาเอง เช่นเดียวกับผู้นำของอังกฤษและฝรั่งเศส

วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2552

เนวิน รอดตามที่ฟันธงไว้จริงจริง

ทายถูกเผง ๆ เลยครับเรื่องนี้ ที่ว่าเนวิน ชิดชอบ จะต้องรอดคุกคดีกล้ายาง แล้วก็รอดจริง ๆ ลอลอ่านบทความที่ผมวิเคราะห์ไว้ตั้งแต่เมื่อ 12 สิงหาคม นะครับว่า

เนวินไม่มีทางติดคุก

ศาลคดีผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีกำหนดประกาศคำตัดสินว่า เนวิน ชิดชอบ และพวกจะมีความผิดหรือไม่กรณีทุจริตกล้ายาง ในวันที่ 17 ส.ค.นี้ ตรงกับวันที่เสื้อแดงยื่นฏีกาให้สำนักราชเลขาธิการพอดี

เดาเอาว่า ถ้าศาลไม่เลื่อนคำตัดสินออกไป ก็อาจตัดสินว่ามีความผิด แต่ให้รอลงอาญาไว้ก่อน หรือจะกล้าให้เนวิน พ้นผิด เป็นไปได้ทั้งนั้น แต่แทบไม่มีโอกาสที่จะให้เนวินติดคุก เลย

ทำไมคิดเช่นนั้นเพราะ

1. ถ้าเนวิน ต้องติดคุก ทั้งที่ช่วยงานทุกอย่างขนาดนี้ ก็ถือว่าใจหมาเหลือเกินแล้ว และจะเป็นตัวอย่างต่อไป ใครเขาจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่อีก กรณีเช่นนี้ ก็คงเหมือนกับ พวกที่ลอบยิงสนธิ ก่อคาร์บอมบ์ทักษิณ โอกาสติดคุกนั้นยากเต็มที่ ถ้าจะติด ก็ระดับปลาซิวปลาสร้อย ที่มีเงื่อนไขต้องเลี้ยงลูกเมียเขาให้ดี

2.เนวิน นั้นมีประโยชน์ยิ่งกว่าประชาธิปัตย์ แม้ว่าจะโฉ่งฉ่างกว่า คุณภาพก็จำกัด ภาพลักษณ์ก็ด้อย แต่ฝ่ายที่ใช้เนวินนั้นสามารถควบคุมเบ็ดเสร็จกว่า เคยถึงกับข่มขู่แก้ผ้ามาแล้ว ใช้งานเนวิน ไม่ต้องกลัวทรยศ เพราะเป็นการเมืองระบบเก่า เรื่องเปลี่ยนขั้วนั้นไม่สำคัญ สำคัญที่เป็นแรงงานใช้ได้ดีขนาดไหน ซึ่งการเมืองท้องถิ่น เก็บเเต้มเข้าพกเข้าห่อนั้น เนวินถนัดมาก น่าใช้ ต่างจากบางกลุ่มที่ชอบแบล็คเมล์ จนเอาไว้ไม่ได้ หรือพวกที่เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น ว่าง ๆ เดี๋ยวมันก็เอาชั่วใส่ให้ผู้มีอำนาจ

3.เนวิน ฉลาดพอที่จะเอาสถาบันมาบังหน้า ถ้าแค่ทำงานโดยการโจมตีทักษิณอย่างเดียว น้ำหนักยังไม่พอในการป้องกันตัว ต้องแสดงให้เห็นว่าทำเพื่อสถาบันด้วย ผลคือ หากฝ่ายกุมบังเหียนคิดจะตัดเชือกเนวิน ก็อาจเจอเสียงครหาว่า ทำเช่นนั้นกับผู้จงรักภักดีอย่างเนวินนั้นเหมะสมแล้วหรือ ข้อนี้จะเป็นประเด็นปกป้องเนวิน อย่างที่สนธิใช้ปกป้องตนเองอยู่

เมื่อพิจารณาจาก 3 ข้อนี้แล้ว หากเนวิน ต้องติดคุกแบบรักเกียรติ สุขธนะจริง ๆ ก็จะเเปลกใจมาก


เเล้วก็ขอนำความคิดเห็นที่เพื่อน ๆ ช่วยกันนำลงในวันนั้นมาให้อ่านด้วยครับ


ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...
รายงานตัวครับพี่โจ้ ค่อนข้างชัดเจนแล้วกับความยุติธรรมแบบระยำตำบอนของประเทศชาติในขณะนี้ เชื่อขนมกินได้เลยว่า เนวินต้องได้รับการอุ้มชูจากมือที่มองไม่เห็นต่อไป โดยถึงขั้นที่ทำให้พวกผู้ทรงคุณธรรมทั้งหลายต้องกลืนน้ำลายตัวเองเปลี่ยนข้างจากผู้ฟ้องร้องไปเป็นพยานให้ซะฉิบ เชื่อว่า คนผู้นี้คงไม่กล้าเอาหน้าม้า ๆ ไปโผล่ออกทีวีที่ไหนอีกแน่นอนครับ (หรืออาจไม่แน่ เพราะนอกจากหน้าม้าแล้วยังหนาอีกต่างหาก)ผมเชื่อครับว่า จะต้องมีคนอีกมากต้องยอมกลืนน้ำลายตัวเองเพื่ออุ้มคนที่หนุนรัฐบาลนี้ตามคำสั่งของมือที่มองไม่เห็นอีกอย่างแน่นอนครับแล้วพบกันนะครับพี่โจ้ครับติ่ง
12/8/09 22:37


ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...
ถ้าเป็นตามที่เขียน ... ประเทศนี้ก็ระยำได้ขนาดเลยคนผิดไม่ติดคุก ... มือที่มองไม่เห็น ...ประชาชนธรรมดา ข้อมูลไม่ลึกไปกว่าหน้าหนังสือพิมพ์ และไม่มีทางเกาะติดได้ทุกวัน ... จะทำไงดีในประเทศนี้ ...มาลงชื่อว่า ตามอ่านอยู่เสมอ ... แต่ไม่ค่อยเม้นท์
13/8/09 11:19


ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...
สวัสดีครับ คุณทหารเรือรบเล่นแรงนะครับ เที่ยวนี้แต่ผมยังหวังในกระบวนการยุติธรรมครับคนทำผิดต้องถูกลงโทษ เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อไปไม่งั้นก็รอวันสิ้นสลายครับ ลำพังทุกวันนี้ บ้านเรา ก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆแล้วเสาหลักสำคัญหากไม่เที่ยงตรง แล้วยังจะหวังอะไรได้อีกต่อไปในภาคหน้าจริงมั้ยครับ
14/8/09 12:28


ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...
ข่าวว่าเนวิน ไปสิงคโปร์แล้ว มันจะหนีหรือเปล่านี่
14/8/09 13:02


ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...
อยากให้พวกเสื้อเหลืองโดนคดีติดคุกบ้างจัง ดูมันจะร้องเอ๋งไหม๊
16/8/09 10:51


เรือรบ เมืองมั่น กล่าวว่า...
บทความนี้ถูกลบโดยผู้เขียน
18/8/09 19:44


เรือรบ เมืองมั่น กล่าวว่า...
ขอบคุณทุกความคิดเห็นนะครับศาลเลื่อนคดีเนวินไป 21 ก.ย.เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ เชื่อเถอะครับ คนอย่างเนวิน ผืดจริงหรือเปล่าเราไม่ทราบ แต่เดาได้ว่าเขายังไม่ติดคุกในอนาคตอันใกล้หรอกครับ
18/8/09 19:51


ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...
ไม่ติดคุกแน่นอน ตอนนี้เมืองไทยแน่ชัดแล้วว่า พวกฝ่ายมือที่มองไม่เห็นย่อม ไม่ต้องรับโทษไดๆ แต่อำนาจและชีวิตเป็นเรื่องไม่จีรัง คงต้องอดทน และรออย่างเดียว เพราะทำอะไรเขาไม่ได้
26/8/09 13:43

วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2552

พม่ากับการเร่งผนึกรวมกลุ่มชาติพันธุ์

หลังจากปล่อยไว้เป็นหอกข้างแคร่มาระยะหนึ่ง กองทัพพม่าก็ตัดสินใจปฏิบัติการกดหัวมิตรด้วยกำลัง โดยเริ่มที่กองกำลังโกก้าง ติดชายแดนจีนเสียก่อน แต่การศึกเพื่อรวมชาติให้ทันก่อนปี 2553 ไม่ใช่เรื่องง่าย และอาจชักพาพม่ากลับไปยังจุดที่เหมือนเช่นที่เป็นในกว่ากึ่งศตวรรษที่ผ่านมานี้ คือ สงครามแบ่งแยกดินแดนไม่จบสิ้น


สิ่งที่อยู่เบื้องหลังการสู้รบระหว่างพม่ากับกองกำลังเชื้อสายจีน ที่โชคชะตาและอสูรสงครามทำให้ตั้งบ้านแปลงเมืองอยู่ติดพรมแดนพม่า-จีนตั้งแต่ปี 2282 นั้นมีหลายประการ ประการที่เด่นชัดที่สุดคือ พม่าต้องการให้กองกำลังโกก้างและกองกำลังอื่น กลายมาเป็นกองกำลังใต้อาณัติของพม่าอย่างสมบูรณ์ ไม่ใช่ปล่อยไว้เป็นรัฐย่อยในรัฐใหญ่อีกต่อไป เพราะนั่นคืออุปสรรคสำคัญต่อการที่พม่าจะเป็นประเทศอย่างสมบูรณ์และศิวิไลส์ สมดังความตั้งใจแบบจักรพรรดิราชของผู้นำพม่าที่สืบทอดต่อกันมา


บางท่านอาจแย้งว่าสถานะปัจจุบันหรือสเตตัส โคว ที่ต่างฝ่ายต่างเป็นอยู่เช่นนี้ไม่ดีต่อรัฐบาลพม่าหรือ เนื่องจากในรอบสิบปีที่ผ่านมา ถือได้ว่ารัฐบาลทหารประสบความสำเร็จอย่างมากในการผนึกชาติพันธุ์ที่หลากหลายเข้ามาอยู่ใต้อุ้งท็อปบูทได้ในระดับหนึ่ง กองกำลังที่เคยสู้รบกับพม่า ถ้าไม่พ่ายแพ้ยอมจำนน ก็ขอหยุดยิงแล้วไปสร้างเมืองของตนเองให้เจริญรุ่งเรือง มีสันติภาพ ส่วนกองกำลังที่ยังสู้อยู่ คือของ เจ้ายอดศึกและกะเหรี่ยงคริสต์ก็เหลือน้อยง่อนแง่นเต็มที จนเกรงว่าอาจอยู่ไม่พ้นแล้งหน้า แล้วรัฐบาลพม่าจะเปลี่ยนมิตรเป็นศัตรู จะก่อศึกไปเพื่ออะไร ในเมื่อเสถียรภาพและสันติมีอยู่แล้ว อนาคตของการสืบทอดอำนาจหลังเลือกตั้งก็สดใส


การยิ่งเจริญขึ้นของเมืองพวกกลุ่มที่ยังไม่ยอมวางอาวุธหรือแปรสภาพมาเป็นกองกำลังอาสาสมัครรักษาชายแดนของพม่านั้นเป็นปัจจัยวิตกของผู้นำที่ปิ่นมนาว่า หากพวกนี้รุ่งเรืองเข้มแข็งมากขึ้น ไม่เพียงแต่ในอนาคตจะสามารถพัฒนากองกำลังจนทหารพม่าเอาชนะไม่ได้แล้ว ปัจจัยด้านมืดที่ทำให้พวกนี้รวยขึ้น เช่นยาเสพติดและอาชญากรรมต่าง ๆ ก็จะทะลักเข้าสู่พม่าตอนในจนความมั่นคงของประเทศเสื่อมทราม การประสบความสำเร็จของรัฐชายขอบนั้นยังอาจจะเป็นตัวอย่างให้รัฐชาติพันธุ์อื่นหันกลับมาต่อต้านพม่ามากขึ้น อยากปกครองตนเองมากขึ้น เพราะข้อเท็จจริงปรากฏเห็น ๆ ว่าพวกมอญ หรือยะไข่ ไม่ได้เจริญเท่าพม่าตอนใน


คมชัดลึก 1 กันยายน 52

วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2552

ปัญหาทั้งหมดเกิดจากตรงไหน

ที่ประเทศไทยต้องเผชิญสภาพย่ำแย่ทุกด้านอย่างนี้ ทั้งที่เมื่อไม่กี่ปีก่อนยังมีแนวโน้มรุ่งเรืองที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศยุคใหม่อยู่เลย ก็เพราะคนสองกลุ่ม

กลุ่มหนึ่ง คือพวกขี้โกง ที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจของพวกตน โดยไม่แคร์ว่าจะกระทบต่อทั้งระบบยังไง และที่น่าเศร้าคือ พวกที่สอง หรือพวกหน้าโง่ ที่ดันเห็นว่าคนพวกเเรกเป็นคนดี มีจริยธรรม เลยสนับสนุนทุกอย่างที่พวกเเรกทำ ถึงตัวเองจะย่ำแย่ลงอย่างไรก็ไม่บ่น

คนสองกลุ่มนี้จะไม่หายไปจากโลกนี้ในเวลาอันสั้นซะด้วยซี ดังนั้น ไม่ว่าจะมีจุดเปลี่ยนผ่านกี่ครั้ง สังคมจะเเตกร้าว ซบเซา อ่อนแอ และอื่น ๆ อีกยาว

เขียนเท่านี้เเหละครับ ดูซิว่าใครจะออกปากแก้ต่างให้คนสองพวกนี้บ้าง หรือใครจะเหน็บแนมคนที่กล่าวหาสองพวกข้างต้น ก็อยากรู้เหมือนกัน

วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2552

แนะนำ Facebook

เพื่อน ๆ ทุกคนครับ

ผมเปิด Facebook มาได้สักเดือนนึงแล้ว เป็นอีกช่องทางสื่อสารหนึ่งระหว่างผมกับเพื่อนฝูง ญาติมิตร และผู้อ่านคอลัมน์ผม ตอนนี้มีคนเข้าชมได้จำนวนหนึ่งแล้ว

ใน Facebook นั้น ในชั้นต้นนี้ได้นำภาพครอบครัวลงก่อน อย่างเช่นวันนี้มีการนำภาพเก่าคุณตาลง เพราะเป็นวันครบรอบ 1 ปีคุณตาเสีย ต่อไปจะพิจารณาลงเรื่องอื่น ๆ แต่คงไม่ใช่เรื่องการเมืองครับ

วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2552

ตลิป"อภิสิทธิ์สั่งฆ่า" ยากจะจับตัวการได้

เรื่องลึกลับในเมืองไทยนั้นมีมากมาย และเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เมืองไทยเจริญได้แค่นี้ จะรุ่งเรืองถึงขีดสุดไม่ได้ เพราะมีอำนาจเหนือระบบครอบงำอยู่

คลิปเสียงอถิสิทธิ์ที่ฮือฮากันอยู่นั้น อยากฟันธงเลยว่า ไม่มีทางจับตัวการได้ เอาแค่ต้นตอยังไม่รู้จะจับได้หรือเปล่า เดี๋ยวก็เลือนหายไปขากน้าสื่อตามที่รัฐบาลอยากให้เป็น แต่ฝ่ายเสื้อแดงเชื่อไปแล้ว

ในทางเทคนิค ก็สืบยาก ที่เคยจับการแพร่ได้นั้น เพราะคนทำเป็นคนแรกที่ปล่อยมาทางเน็ต แต่คลิปนี้ไรท์ลงซีดีก่อน ถ้าจะจับต้องทลายโรงงานผลิต (ซึ่งไม่มี เพราะไม่ได้ปั๊มขายใหญ่โต) หรือยึดคอมพิวเตอร์ที่ไรท์ แต่ตัวไหนล่ะ อยากมากก็จับแพะ พวกที่เผยแพร่โดนรู้เท่าไม่ถึงการณ์ได้อีกหลายตัวเท่านั้น

แต่อุปสรรคที่ใหญ่กว่านั้น คือ คนที่ปล่อยคลิปเป็นผู้ที่แตะต้องไม่ได้ เรื่องบางเรื่องที่คนทั่วไปไม่รู้ ก็เพราะเขาไม่อยากให้รู้ เรื่องบางเรื่องที่เราได้รู้ ก็เพราะเขาจงใจจะให้รู้ เพื่อประโยชน์ของเขา

สังเกตกันไหมว่า หลายเรื่องที่ปรากฏในสังคมไทย เช่น ข่าวลือบ้าง ภาพถ่ายหรือคลิปพิเศษบ้าง เอกสารลับบ้าง เรื่องพวกนี้สามารถเกี่ยวพันกับคนมีชื่อเสียง น่านับถืออย่างไรก็ได้ นั้นทำไมหลุดรอดมาสู่ประชาชนทราบได้ แล้วก็จับใครไม่ได้ เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องลับ ฝ่ายตรงข้ามหรือคนธรรมดาจะไม่สามารถตรัสรู้ได้ด้วยซ้ำว่ามันมีอยู่จริง นั่นแสดงว่าคนที่ "แทงข้างหลัง" ก็คือคนที่ใกล้ชิดกับผู้เสียหายนั่นเอง

ในเมื่อใกล้ชิดแล้วยังมีอิทธิพลจนสาวถึงต้นตอไม่ได้ นั่นแสดงว่าขบวนการนี้น่ากลัวยิ่ง

ยิ่งคิดยิ่งหนาวว่า นอกจากเรื่องที่ไม่ถึงแก่ชีวิตเหล่านี้แล้ว ยังมีเรื่องคอขาดบาดตายอีกมากที่ตำรวจยังจับไม่ได้ เช่น ระเบิดส่งท้ายปีเก่า 49 หรือ ระเบิดขู่บ้านเปรม+พรรคประชาธิปัตย์ บางเรื่องก็หยุดอยู่แค่ลูกจ๊อก เช่นคาร์บอมบ์ทักษิณ หรือคดีจะยิงชาญชัย

กรณีคลิปอภิสิทธิ์สั่งฆ่านี้มีผู้แสวงประโยชน์หลายฝ่ายก็จริง แต่ผู้รับประโยชน์โดยตรงนั้นเชื่อว่าตัวใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์น่าจะเดาออก และกำลังตัดสินใจในทางลับว่าจะเอายังไงกันดีกับ"สาส์น"ที่แจ้งมาโดยวิธีพิสดารเช่นนี้

วันอังคารที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552

ใกล้เข้าสู่บทใหม่ การเมืองญี่ปุ่น

บทความนี้ขอต้อนรับ การชนะเลือกตั้งของพรรคประชาธิปัตย์ญี่ปุ่น (ที่เป็นพรรคของคนนิยมประชาธิปไตยของจริง) ที่ชนะการเลือกตั้งเมื่อ 30 ส.ค.52 แล้วทำให้นายยูกิโอะ ฮาโตยามา จะเป็นนายกรัฐมนตรี บทความนี้ผมเขียนลงคอลัมน์โลกสาระจิปาถะ เมื่อ 24 ก.ค.52 โดยเป็นคอลัมน์แรกที่ได้เกียรติจากคมชัดลึกให้เขียนแทนคุณกวี จงกิจถาวร

ใกล้เข้าสู่บทใหม่การเมืองญี่ปุ่น

ถึงแม้ว่าการบริหารประเทศจะไม่ได้เรื่องมาโดยตลอด นายทาโร อาโสะ ก็ยังน่ายกย่องในตอนท้ายที่กล้ายุบสภา ให้มีการเลือกตั้งใหม่ในญี่ปุ่น 30 ส.ค.นี้เสียที โดยไม่เปิดทางให้หัวหน้าก๊วนแก๊งค์ในพรรคเสรีประชาธิปไตย หรือแอลดีพี พรรครัฐบาลที่กำลังเสื่อมศรัทธาในหมู่ประชาชนอย่างหนัก ได้มีโอกาสเปลี่ยนหน้ากันเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีกันอีก เพราะถึงได้เป็นนายกก็แก้ปัญหาบ้านเมืองไม่ได้ เพราะประชาชนไม่เอาด้วย ดังนั้นเมื่อยุบสภาแล้วก็เชื่อขนมกินได้เลยว่า นายกคนต่อไปน่าจะชื่อ ยูกิโอะ ฮาโตยาม่า จากพรรคประชาธิปัตย์ญี่ปุ่น หรือ ดีพีเจ


ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ใช้นายกเปลืองมาก เพราะนับถึงวันนี้ก็มี 59 คนเข้าไปแล้ว แค่หลังเลือกตั้งล่าสุดปี 48 ก็มีถึง 4 คน กระนั้นก็ตาม นับตั้งแต่หลังสงครามโลกเป็นต้นมา จะดีจะชั่ว พรรคแอลดีพี ก็ครองอำนาจมาโดยตลอด เว้นแต่ช่วงสั้นในปี 2536-39 เท่านั้น ที่เป็นเช่นนี้เพราะคนญี่ปุ่นออกแนวอนุรักษ์นิยมทางการเมือง สังเกตจากการไม่เคยแก้รัฐธรรมนูญเลยตลอด 62 ปี อีกทั้งฝ่ายแอลดีพี เองก็เล่นการเมืองเก่งมาก แม้แต่ในช่วง 15 ปีหลังมานี้ที่ขีดความสามารถของประเทศลดต่ำลงอย่างหนัก ก็ยังผลัดหน้ากันเข้ามาบริหารประเทศได้ แม้ว่าจะต้องเป็นรัฐบาลผสมบ้างก็ตาม แต่วันนี้ยากที่พรรคแอลดีพี จะฝืนขะตากรรม เพราะผลงานของนายกระยะหลังทุกคน ยกเว้นนายจุนอิฉิโร โคอิซูมิ ไม่เอาไหนเลยจริง ๆ ทำให้พรรคฝ่ายค้าน โดยเฉพาะพรรคดีพีเจ ครองอำนาจในสภาสูงมาตั้งแต่ปี 2550 ทั้งล่าสุดในการเลือกตั้งท้องถิ่นปีนี้ก็เอาชนะพรรครัฐบาลอย่างถล่มทลาย จนกลายเป็นชนวนสำคัญที่นายอาโสะ ต้องลาออกในที่สุด


การที่ฝ่ายค้านครองอำนาจในสภาสูง ทำให้ฝ่ายรัฐบาลบริหารประเทศแบบเป็ดง่อย กฎหมายหลายฉบับต้องเสียเวลาในการผ่านร่าง รวมทั้งกฎหมายสำคัญอย่างเช่น การร่วมมือกับสหรัฐ ฯ ในสงครามอัฟกานิสถานหรือกฎหมายเกี่ยวกับการเงิน ขั้นตอนที่ถูกกีดขวางทำให้การบริหารประเทศไม่เป็นผล คะแนนนิยมของพรรครัฐบาลจึงต่ำลง ตอนนี้โพลล์ชี้ว่าฝ่ายแอลดีพีมีคะแนนตามดีพีเจ ถึง 12 เปอร์เซ็นต์ หลังเลือกตั้งใหม่ พรรคดีพีเจ น่าจะครองควบทั้งสภาสูงสภาต่ำ การบริหารประเทศคงจะราบรื่นขึ้น


นโยบายของรัฐบาลใหม่คงทำให้การเมืองญี่ปุ่นเปลี่ยนโฉมหน้ากันไปพอสมควร ซึ่งเราคงจะได้มีโอกาสวิเคราะห์กันต่อว่า ญี่ปุ่นจะถอยห่างจากสหรัฐ ฯ ได้แค่ไหน เพื่อนบ้านจะแฮปปี้ขึ้นหรือไม่ และญี่ปุ่นจะหลุดพ้นขอบเหวทางเศรษฐกิจได้ไหม หวังว่าฮาโตยาม่า จะมีความทนทะเลพอควร ไม่ล่มภายในเวลาไม่ถึงปีอย่างที่โมริฮิโร โฮโซกาว่า นายกนอกแอลดีพีคนแรกเคยเจอมา

วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2552

หลังถวายฏีกา...

แม้ว่าจะมีกระแสและการกระทำจากหลายฝ่ายมุ่งต่อต้านคัดค้านการถวายฎีกาของคนเสื้อแดง แต่ถึงวันนี้คงไม่มีอะไรเปลี่ยนใจพวกเขาได้ การคะเนไปในทางร้ายของฝ่ายคัดค้านนั้นมีผู้เขียนถึงมากอยู่แล้ว เช่นเดียวกับฝ่ายเสื้อแดงที่ยกเหตุผลแสดงความชอบธรรมของการถวายฎีกา แต่ผลของการยื่นฏีกาไม่ใช่มีโอกาสแต่เพียงการชังน้ำหน้าระหว่างสองฝ่ายกันหนักขึ้น หรือลงเอยด้วยการตีกันจนบรรลัยตามที่บางพวกปรารถนา ยังมีโอกาสให้กับความสันติหลังวันที่ 17 ส.ค.อยู่


ถ้ามองในแง่บวกแล้ว การยื่นฎีกาครั้งนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่า อาการไม่เอาสถาบันซึ่งอาจมีอยู่บ้างในคนเสื้อแดงบางหมู่นั้นถูกลดบทบาทลงไปมาก การปลุกเร้าการรักสถาบันอย่างแรงกล้าของแกนนำที่ยื่นถวายฏีกา จะกระตุ้นให้คนเสื้อแดงเพิ่มความจงรักภักดีในสถาบันมากยิ่งขึ้น การที่ประชาชนมีแนวคิดเทิดทูนสถาบันไม่ว่าเสื้อสีไหนเป็นเรื่องที่น่ายินดี และทำให้พอมองเห็นแสงสว่างของการแก้ปัญหาที่ยุ่งยากซับซ้อนอีกมากหลาย สำหรับผู้ที่คิดว่าแกนนำเสื้อแดงมีจุดมุ่งหมายแฝงหรือไม่รักสถาบันจริงนั้นเป็นเรื่องที่ต้องพิสูจน์กันต่อไป แต่สัญญาประชาคมที่แสดงบนเวทีนั้นทำให้มวลชนเสื้อแดงส่วนใหญ่มาก ๆ ยึดมั่นในสถาบันหนักแนนขึ้นไปอีก และทำให้พวกที่ต่อต้านสถาบันแอบแฝงอยู่นั้นต้องคิดหนัก


แน่นอนว่าคนเสื้อแดงจะไม่หยุดเคลื่อนไหวหลังวันที่ 17 ยิ่งรัฐบาลมีแผลทุจริตมากขึ้น คนเดือดร้อนจากปัญหาเศรษฐกิจสังคมทวีเป็นวงกว้างมากขึ้น และความแตกร้าวกันเองในขั้วที่บริหารประเทศ ย่อมทำให้ฝ่ายแกนนำเสื้อแดงสั่งรุกต่อ แต่ถึงแม้การเดินหน้านั้นจะยกเป้าหมายที่เปลี่ยนแปรตามสถานการณ์ไปอย่างไรก็ตาม (อาจถึงขั้นเดือนหน้าไล่รัฐบาล เดือนถัดไปไล่อำมาตย์) การดำเนินการจะยังอยู่ใต้กรอบของกฎหมายเสมอ แนวทางชี้วัดเปรียบเทียบก็คือ ถ้าเสื้อแดงยื่นฏีกาแก่สำนักราชเลขาธิการแล้วนิ่งรออย่างที่ประกาศไว้จริง ๆ เรื่องอื่น ๆ ก็คงไม่กล้าฝืนกฎหมาย การต่อสู้ด้วยการอิงกรอบกฎหมายนั้นน่าจะทำให้หายใจคล่องขึ้นหน่อยนึงว่า โอกาสที่จะนำไปสู่ความรุนแรงนั้นน้อยลงไป


แต่ทุกอย่างนั้นมันก็ไม่แน่ เพราะกระแสต่อต้านฏีกาที่แรงมากอย่างจงใจจากบางกลุ่มอาจปลุกเร้าสัญญาณบางอย่างก็ได้ อาจทำให้คนกลุ่มหนึ่งเห็นว่าถึงจุดที่ยอมกันไม่ได้ สวนกับอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่พอใจการขัดขวางสิทธิที่ตนคิดว่ามี ความขัดแย้งชิงชังกันยิ่งฝังลึก ยากต่อการสมานฉันท์และพร้อมที่จะเกิดเหตุการณ์พิเศษได้เสมอ

คมชัดลึก 16 ส.ค.52

วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ลาก่อนดวงหฤทัยแห่งฟิลิปปินส์

การจากไปด้วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ของนางคอราซอน อาคิโน ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นของวันเสาร์ที่ 31 ก.ค.เป็นการปิดตำนานชีวิตเหลือเชื่อของแม่บ้านคนหนึ่งซึ่งต้องรับภาระต่อสู้เผด็จการต่อจากสามีโดยไม่นึกไม่ฝัน กลายเป็นผู้ที่ได้รับความชื่นชมที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของประเทศ 7000 เกาะ เป็นผู้นำการปฏิวัติประชาชนเรือนล้านที่ออกมากันเต็มถนน และเป็นประธานาธิบดีอีก 6 ปีก่อนกลับไปเป็นแม่บ้านตามเดิม จนกระทั่งเสียชีวิตด้วยวัย 76 ปี


แม้ว่าสามีของนางคอราซอน (แปลว่าสุดที่รัก) จะเป็นถึงผู้นำฝ่ายค้านฝีปากเอก นางคอราซอนก่อนวันที่ 21 ส.ค.2526 นั้นก็แทบไม่มีคนรู้จัก แต่เมื่อเบนิโต อาคิโน อดีตผู้นำฝ่ายค้านกล้าบินกลับฟิลิปปินส์โดยไม่ฟังคำขู่ของประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์คอส เขาถูกจัดฉากยิงตายคาสนามบินทันที ทั่วโลกประณามระบอบมาร์คอสว่าอยู่เบื้องหลังแผนการนี้ เลยยิ่งเป็นการเร่งปฏิกิริยาให้กระบวนการโค่นล้มมาร์คอสรณรงค์อย่างเป็นล่ำเป็นสัน นางคอราซอนผู้มีรอยยิ้มอันอบอุ่น กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของรากหญ้าฟิลิปปินส์ทั้งมวลในการเคลื่อนไหวหมายล้มเผด็จการ จนมาร์คอสต้องยอมให้มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2529


ขนาดเลือกตั้งแล้วมาร์คอสยังกล้าโกง เช่น บางเกาะประชากรมีแต่เต่าก็ลงคะแนนได้หมื่นกว่าตัว ผลคือชนะนางคอราซอนได้ แต่ทุกฝ่ายไม่เอาด้วย แม้แต่ทหารก็ยอมเปิดทางให้ประชาชนมือเปล่าบุกทำเนียบมาลากันยัง ทำให้ผู้ที่ทรงอำนาจสูงสุดของฟิลิปปินส์มายาวนานถึสองทศวรรษต้องบินหนีไปตรอมใจตายที่ฮาวายในอีกเพียง 3 ปีต่อมา


นางคอราซอนเป็นประธานาธิบดีที่ไม่โดดเด่นนักเมื่อเทียบกับฟิเดล รามอส คนที่รับสืบทอดอำนาจต่อจากเธอ แต่ก็สร้างเสถยรภาพให้กับประเทศชาติได้พอสมควร ความนิยมของเธอในหมู่ประชาชนและข้าราชการมีส่วนช่วยให้เธอรอดพ้นจากการก่อกบฏถึง 7 ครั้ง ส่วนเรื่องไม่ชอบมาพากลก็มีเหมือนกัน เช่นการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกร ไป ๆ มาๆ เอื้อประโยชน์ให้แก่ตระกูลเสียนี่ และมีการใช้กำลังกับชาวนาจนเจ็บตายกันจำนวนไม่น้อย


พีเพิ่ล พาวเออร์ ที่คอราซอน อาคิโน มีส่วนสำคัญในการสร้างนั้นนับเป็นคุณานุปการที่ยิ่งใหญ่ต่อชาวฟิลิปปินส์ แต่ในอีกแง่หนึ่งประชาชนก็ติดกับการใช้พลังมวลชนไล่ประธานาธิบดีที่เขาคิดว่าโกง ประธานาธิบดีโจเซฟ เอสตราด้า โดนเข้าไปเมื่อปี 2544 และทำให้นางกลอเรีย อาร์โรโย เถลิงอำนาจขึ้นมา ในวันนี้นางซูซาน โรเซส ภริยาม่ายของอดีตคู่แข่งชิงประธานาธิบดีกับนางกลอเรีย ก็กำลังรณรงค์มวลชนไล่นางกลอเรียออกจากตำแหน่งอย่างขะมักเขม้น

คมชัดลึก 4 สิงหาคม 2552

วันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2552

สงสาร พญ.เบญจวรรณ

ขึ้นต้นหัวเรื่องอย่างนี้ อย่าพึ่งคิดว่าผมก็ร่วมเฮไปกับเขาด้วย ที่จะด่าหมอที่ผิดจรรยาบรรณรักษาคนไข้คนนี้ เพราะผมขอแสดงความเห็นในเชิงเห็นใจต่างหาก

สังคมไทยเป็นสังคมที่ไม่สงสารกันแล้วหรือ ตั้งแต่เมื่อไหร่

หรือว่าตั้งแต่มีคนกลุ่มหนึ่ง อ้างว่าตัวดีเลิศประเสิรฐศรีออกมาประท้วงขับไล่ไม่เผาผีคน ๆ หนึ่ง โดยแสดงอาการเคียดแค้นออกสาธารณะชนิดที่ว่าไม่กลัวโดนด่ากลับ

ไม่นานนับจากนั้น จนถึงวันนี้ก็แค่ 3-4 ปี เราได้เห็นอาการ"เคียดแค้นฝั่งตรงข้าม" กระจายไปอย่างดับไม่ได้

เอาเถอะครับ ผมพอเข้าใจ เพราะคนบางคนเขาก็สมควรเกลียดเหมือนกัน กลุ่มบางกลุ่มสมควรถูกประท้วงเหมือนกัน

แต่กับหมออายุ 25 คนหนึ่ง เสื้อแดงจะไม่สงสารเธอเลยหรือครับ

จริงล่ะ การกระทำของ พญ.เบญจวรรณ นั้นผิดจรรยาบรรณแพทย์ชัดเจน และอีกข้อหนึ่งก็คือ ถ้าเธอเป็นแม่ค้าไม่ขายของให้ลูกค้าเสื้อแดง นั่นพอรับได้ว่าเธอมีสิทธิ แต่เธอนี่เป็นลูกจ้างของโรงพยาบาลที่ต้องให้บริการลูกค้าทุกคน เธอต้องให้บริการคน ๆ นี้

การกระทำของเธอสมควรได้รับการประณาม แต่ก็ควรพอประมาณ ให้โอกาสเธอบ้างเถอะครับ

จริงอยู่ที่เธอยังไม่สำนึก อาการที่ถูกหล่อหลอมมอมประสาทแบบนี้ไม่ใช่หายได้ง่าย ๆ แต่ครั้นจะตัดอนาคตเธออย่างเช่น เสนอยึดใบประกอบโรคศิล์ป หรือไล่ด่าเธอไม่หยุดในทุกที่นั้น ออกจะแรงเกินไปสักหน่อย


การไม่เอาเรื่องเอาราวกับเธอ อาจไม่มีผลต่อพฤติกรรมและความคิดในอนาคตของเธอ แต่น่าจะมีผลต่อชาวเสื้อแดงทั้งมวลว่า กลุ่มคนเสื้อแดงนั้นเป็นผู้ให้อภัย มีเมตตาจิตในเบื้องต้นอยู่เสมอ คุณค่าเช่นนี้ ศัตรูไม่นับถือไม่เป็นไร พวกคนเสื้อแดงมีนับถือในตัวเองอยู่แล้ว และจะยิ่งเพิ่มความนับถือในตัวเอง หากให้อภัย มีเมตตาจิต ต่อหมอเบญจวรรณ



ผมยังเชื่ออยู่ ว่าแม้ในช่วงแรก ความเกลียดจะระดมมวลชนที่คลั่งแค้นออกมา แต่ความรักเท่านั้นที่ระดมมวลชนก้อนใหญ่กว่าออกมามีชัยในที่สุด

วันพุธที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เนวิน ไม่มีทางติดคุก

ศาลคดีผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีกำหนดประกาศคำตัดสินว่า เนวิน ชิดชอบ และพวกจะมีความผิดหรือไม่กรณีทุจริตกล้ายาง ในวันที่ 17 ส.ค.นี้ ตรงกับวันที่เสื้อแดงยื่นฏีกาให้สำนักราชเลขาธิการพอดี

เดาเอาว่า ถ้าศาลไม่เลื่อนคำตัดสินออกไป ก็อาจตัดสินว่ามีความผิด แต่ให้รอลงอาญาไว้ก่อน หรือจะกล้าให้เนวิน พ้นผิด เป็นไปได้ทั้งนั้น

แต่แทบไม่มีโอกาสที่จะให้เนวินติดคุก เลย

ทำไมคิดเช่นนั้น

เพราะ 1. ถ้าเนวิน ต้องติดคุก ทั้งที่ช่วยงานทุกอย่างขนาดนี้ ก็ถือว่าใจหมาเหลือเกินแล้ว และจะเป็นตัวอย่างต่อไป ใครเขาจะช่วยเหลืออย่างเต็มที่อีก กรณีเช่นนี้ ก็คงเหมือนกับ พวกที่ลอบยิงสนธิ ก่อคาร์บอมบ์ทักษิณ โอกาสติดคุกนั้นยากเต็มที่ ถ้าจะติด ก็ระดับปลาซิวปลาสร้อย ที่มีเงื่อนไขต้องเลี้ยงลูกเมียเขาให้ดี

2.เนวิน นั้นมีประโยชน์ยิ่งกว่าประชาธิปัตย์ แม้ว่าจะโฉ่งฉ่างกว่า คุณภาพก็จำกัด ภาพลักษณ์ก็ด้อย แต่ฝ่ายที่ใช้เนวินนั้นสามารถควบคุมเบ็ดเสร็จกว่า เคยถึงกับข่มขู่แก้ผ้ามาแล้ว ใช้งานเนวิน ไม่ต้องกลัวทรยศ เพราะเป็นการเมืองระบบเก่า เรื่องเปลี่ยนขั้วนั้นไม่สำคัญ สำคัญที่เป็นแรงงานใช้ได้ดีขนาดไหน ซึ่งการเมืองท้องถิ่น เก็บเเต้มเข้าพกเข้าห่อนั้น เนวินถนัดมาก น่าใช้ ต่างจากบางกลุ่มที่ชอบแบล็คเมล์ จนเอาไว้ไม่ได้ หรือพวกที่เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่น ว่าง ๆ เดี๋ยวมันก็เอาชั่วใส่ให้ผู้มีอำนาจ

3.เนวิน ฉลาดพอที่จะเอาสถาบันมาบังหน้า ถ้าแค่ทำงานโดยการโจมตีทักษิณอย่างเดียว น้ำหนักยังไม่พอในการป้องกันตัว ต้องแสดงให้เห็นว่าทำเพื่อสถาบันด้วย ผลคือ หากฝ่ายกุมบังเหียนคิดจะตัดเชือกเนวิน ก็อาจเจอเสียงครหาว่า ทำเช่นนั้นกับผู้จงรักภักดีอย่างเนวินนั้นเหมะสมแล้วหรือ ข้อนี้จะเป็นประเด็นปกป้องเนวิน อย่างที่สนธิใช้ปกป้องตนเองอยู่

เมื่อพิจารณาจาก 3 ข้อนี้แล้ว หากเนวิน ต้องติดคุกแบบรักเกียรติ สุขธนะจริง ๆ ก็จะเเปลกใจมาก

วันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เร่งรัดเรื่องที่เริ่มเลือนหาย

เวลานี้รัฐบาลกำลังหายใจเข้าหายใจออกเป็นการพยายามรับมือกับคนเสื้อแดงเป็นวาระเร่งด่วนที่สุด ส่วนความพยายามอื่นก็ไม่พ้นการเร่งทำคะแนนนิยมเหนือหน้าอดีตนายกทักษิณ ฯ ทำให้ปัญหาความมั่นคงของจริงบางอย่างดูจะให้ความสนใจน้อยกว่า ไม่ว่าจะเป็นไข้หวัดหมูที่กำลังระบาด ชายแดนเขมรที่ตึงเครียด และที่เรื้อรังมานานคือชายแดนภาคใต้


คุณปิยะ กิจถาวร อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มอ.ปัตตานี เขียนจดหมายมาถึงผมเมื่อสองสัปดาห์ก่อน แสดงความเป็นห่วงในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในภาคใต้ของรัฐบาล พร้อมทั้งนำจดหมายเปิดผนึกที่ 6 สถาบันการศึกษาภาคใต้ร่วมกันกระตุ้นนายก มาให้ผมช่วยประชาสัมพันธ์ ในเนื้อหานั้นกล่าวถึงสถานการณ์ชายแดนใต้ที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ความเคียดแค้นชิงชังขยายตัวซึมซับสู่เยาวชน จนโอกาสสร้างสันติสุขในพื้นที่ดูมืดมน ทั้งนี้การบุกยิงมัสยิดอัลฟุรกอนเมื่อ 8 มิ.ย.ที่มีคนตายคาที่สิบศพ นับเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของสถานการณ์นองเลือด เพียงแต่จะหาหลักฐานชัดเจนได้แบบไหน


หลักฐานชัดเจนนี้ก็คือ หากโจรกระทำ แสดงว่าโจรเตรียมพ่ายแพ้ด้านความชอบธรรมได้เลย แต่หากเป็นฝีมือมือที่ 3 ก็ประเทศชาติก็เตรียมเผชิญกับการขยายตัวของความรุนแรง ภายใต้ความไม่เอาไหร่ของฝ่ายรัฐ และหากเป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่รัฐ ก็แสดงว่าล้มเหลวทั้งรัฐและกอ.รมน. ดังนั้นทั้ง 6 สถาบันจึงเรียกร้องให้รัฐหาคนผิดมาให้ได้ รวมทั้งกรณียิงครู ยิงพระด้วย โดยแจ้งความคืบหน้าให้ประชาชนทราบเป็นระยะเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจของฝ่ายรัฐ นอกจากนี้ยังควรเร่งรัดการเยียวยาจิตใจผู้สูญเสียด้วย


เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งกับจดหมายฉบับนี้ครับ ในทางปฏิบัติเชื่อว่าฝ่ายรัฐกำลังหาความจริงอยู่แล้ว เพียงแต่ความจริงนั้นบางเรื่องอาจเข้าถึงยาก บางเรื่องติดขัดด้วยเหตุผลด้านความมั่นคง แต่ไม่ว่าอย่างไรรัฐต้องนำความกระจ่างในระดับหนึ่งออกมาสร้างความมั่นใจให้กับคนในพื้นที่และคนที่เขาจับตามองอยู่ให้ได้ ไม่เช่นนั้นสถานการณ์มีแต่จะเลวลง เหมือนกับที่องค์กรด้านสิทธิมนุษยชนบางองค์กรรายงานเป็นนัยว่าเจ้าหน้าที่รัฐบางส่วนเกี่ยวข้องกับการฆ่าอุสตาซและโจมตีมัสยิด ทั้งนี้การล้างแค้นในเชิงตอบโต้กันไปมาจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เข้าทางโจรร้ายที่กำลังเร่งให้ประชาคมมุสลิมโลกเข้ามาแทรกแซง

คมชัดลึก 20 กรกฏาคม 52

วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2552

แนวโน้มการขยายตัวของกลุ่มก่อการร้ายสากลในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

การก่อเหตุระเบิดฆ่าตัวตายภายในโรงแรม RitZ-Carlton และ JW Marriotts บนถนนย่านธุรกิจของอินโดนีเซียเมื่อ ๑๗ ก.ค.๕๒ ทำให้มีผู้เสียชีวิต ๙ คน รวมทั้งชาวต่างชาติ ๔ คน และมีผู้บาดเจ็บ ๕๓ คนนั้น แม้ว่าจะไม่มีกลุ่มก่อการร้ายใดแสดงความรับผิดชอบต่อปฏิบัติการดังกล่าว แต่ทางการอินโดนีเซียระบุว่าน่าจะเป็นการกระทำของกลุ่ม Jemaah Islamiyah (JI) กลุ่มก่อการร้ายมุสลิมหัวรุนแรง โดยการก่อเหตุครั้งนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของนาย Noordin Mohammad Top อดีตสมาชิกของกลุ่มที่มีเชื้อสายมาเลเซีย และเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการก่อเหตุระเบิดฆ่าตัวตายขนาดใหญ่ในกรุงจาการ์ต้าและนครบาหลีของอินโดนีเซียในห้วงปี ๒๕๔๕-๒๕๔๘


หลังจากก่อเหตุโจมตี สอท.ออสเตรเลีย/อินโดนีเซียเมื่อปี ๒๕๔๗ กลุ่ม JI ได้ยุติปฏิบัติการขนาดใหญ่ เนื่องจากได้รับการกดดันจากทางการอินโดนีเซียอย่างหนัก นาย Abu Bakar Ba’asyir ผู้นำทางจิตวิญญาณของกลุ่มถูกดำเนินคดี (ถูกปล่อยตัวเมื่อปี ๒๕๔๙ แต่ยังอยู่ในความเฝ้าระวังของทางการอย่างใกล้ชิด) สมาชิกของกลุ่มถูกสังหารและจับกุมจำนวนมาก ทำให้ขาดแคลนบุคลากรที่มีขีดความสามารถทดแทน อีกทั้งแกนนำมีความขัดแย้งด้านอุดมการณ์ ทำให้แกนนำบางส่วนกระจายไปจัดตั้งกลุ่มย่อยในที่ต่าง ๆ เช่นนาย Uma Patek จัดตั้งกลุ่มในมินดาเนา/ฟิลิปปินส์ เป็นต้น ดังนั้นในห้วงปี ๒๕๔๗-๒๕๕๒ กลุ่ม JI จึงอยู่ระหว่างการฟื้นฟูกำลัง โดยยังคงประสานงานระหว่างเครือข่าย มุ่งเน้นการเผยแผ่อุดมการณ์ รวบรวมกำลังพล ทุนและอาวุธ ตลอดจนการลักลอบฝึกอาวุธ รวมทั้งการเพิ่มอิทธิพลของกลุ่มในกลุ่มก่อการร้ายหลักของภูมิภาค เช่น แนวร่วมปลดปล่อยอิสลามโมโร (Moro Islam Liberation Front – MILF)แต่ไม่มีการปฏิบัติครั้งใหญ่


สถานการณ์ก่อการร้ายในภูมิภาคเริ่มตึงเครียดขึ้นตั้งแต่ปี ๒๕๕๑ ซึ่งกลุ่ม MILF ยกเลิกการเจรจาสันติภาพกับรัฐบาลฟิลิปปินส์ การสู้รบและการก่อการร้ายที่เพิ่มขึ้นในฟิลิปปินส์ทำให้กระแสมุสลิมหัวรุนแรงขยายตัวขึ้น ส่งผลให้เกิดการเคลื่อนไหวในพื้นที่อื่นของภูมิภาค ประกอบกับการที่สงครามในอัฟกานิสถานรุนแรงขึ้น ทำให้มีผู้อพยพชาวอัฟกานิสถานเดินทางเข้ามายังอินโดนีเซียเป็นจำนวนมาก โดยยอดชาวอัฟกานิสถานที่ลงทะเบียนในสถานะผู้พลัดถิ่นของสำนักข้าหลวงใหญ่เพื่อผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (Unied Nations High Commissoner for Refugee – UNHCR) ในกรุงจาการ์ต้ามีมากกว่า ๑,๒๐๐ คน โดยจำนวนที่แท้จริงอาจสูงกว่านี้หลายเท่า นอกจากนี้การที่สหรัฐ ฯ มีนโยบายทะยอยปล่อยตัวหรือย้ายสถานที่คุมขังผู้เกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายสากลที่ถูกคุมขังที่ค่ายกักกันอ่าว Guantanamo/คิวบา ให้หมดก่อนปิดค่ายอย่างเป็นทางการใน ม.ค.๕๓ ทำให้มีผู้ถูกปล่อยตัวแล้ว ๕๓๔ คน(ม.ค.๕๒) ในจำนวนนี้มีรายงานยืนยันว่า ๗๔ คนกลับไปเกี่ยวข้องการก่อการร้ายอีก รวมทั้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้


ในรอบ ๒ เดือนที่ผ่านมามีเหตุการณ์เฉพาะที่อาจนำไปสู่การก่อเหตุร้ายครั้งใหญ่ในเอเชียตะวันออกฉียงใต้ ดังนี้


๑. เมื่อ ๑๖ มิ.ย.๕๒ ทางการสิงคโปร์ได้ปล่อยตัวผู้ก่อการร้ายคนสำคัญ ๒ คนคือนาย Arifin bin Ali สมาชิก JI ผู้ถูกทางการไทยจับกุมขณะวางแผนก่อเหตุร้ายในไทยและได้ส่งตัวให้สิงคโปร์เมื่อปี ๒๕๔๖ และนาย Jalaluddin Sanawi สมาชิกกลุ่ม MILF ปัจจุบันทั้งสองอยู่ภายใต้การเฝ้าระวังของทางการสิงคโปร์

๒. เมื่อ ๒๔ มิ.ย.๕๒ ตำรวจอินโดนีเซียได้จับกุมนาย Husani Ismail สมาชิก JI ผู้เคยวางแผนโจมตีสนามบิน Changi ของสิงคโปร์เมื่อปี ๒๕๔๔ จากข้อมูลด้านการข่าวของ สน.ผชท.ไทย/จาการ์ต้าเชื่อว่า การก่อการร้ายต่อโรงแรมในจาการ์ต้าเมื่อ ๑๗ ก.ค.๕๒ ส่วนหนึ่งเป็นการตอบโต้การจับกุมดังกล่าว


๓. เกิดเหตุระเบิดฆ่าตัวตาย ๒ ครั้งบนเกาะมินดาเนา/ฟิลิปปินส์ โดยเมื่อ ๕ ก.ค.๕๒ ปรากฏขึ้นนอกโบสถ์คริสต์แห่งหนึ่งในเมือง Cotabato มีผู้เสียชีวิต ๕ คน บาดเจ็บ ๔๐ คน และเมื่อ ๗ ก.ค.๕๒ ที่ จ.Sulu ,ผู้เสียชีวิต ๖ คน บาดเจ็บ ๒๔ คน ทางการฟิลิปปินศืเชื่อว่าเป็นการกระทำของกลุ่มก่อการร้าย Abu Sayyaf ที่ตอบโต้การโจมตีค่ายของกลุ่ม ฯ ก่อนหน้านั้นไม่นาน



จากแนวโน้มและสถานการณ์เฉพาะของการก่อเหตุร้ายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งการก่อเหตุโจมตีโรงแรมในจาการ์ต้าเมื่อ ๑๗ ก.ค.๕๒ แสดงให้เห็นความเป็นไปได้ว่ากลุ่มก่อการร้ายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ฟื้นตัวขึ้นแล้ว หากไม่สามารถกวาดล้างจับกุมผู้ก่อเหตุคนสำคัญได้ในเวลาอันสั้น กลุ่มก่อการร้ายอาจได้ใจและกล้าขยายปฏิบัติการเป็นวงกว้างต่อไป นอกจากนี้ หากไม่มีมาตรการที่รัดกุมกว่าเดิมในการสกัดกั้นการเชื่อมโยงระหว่างแกนนำก่อการร้าย อุดมการณ์ เงินทุน แนวร่วมผู้หลงเชื่อ ตลอดจนผู้อพยพจากต่างถิ่น กลุ่มก่อการร้ายอาจประสบความสำเร็จในการก่อการร้ายดังเช่นที่เคยเกิดในในช่วงทศวรรษ ๒๕๔๐

วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

พันธมิตร คุณคิดหรือจะได้ในสิ่งที่ต้องการ

ผมขอนำบทความเก่าที่เคยลงในโอเคเนชั่นเมื่อคืนก่อนวันที่ พวกพันธมิตรจะเหิมเกริมกล้าล้อมรัฐสภา ปิดสนามบินมาลงให้ท่านผู้อ่านได้พิสูจน์กันอีกครั้ง สิ่งที่วันนี้สนธิ ลิ้มทองกุล ออกมาด่าประชาธิปัตย์ว่าหลอกใช้พวกเขาให้ก้าวขึ้นสู่อำนาจ นั้น ผมและคนอีกเป็นจำนวนมากคาดการณ์ได้ก่อนแล้ว ผมถึงกับเขียนเตือนไว้เลยว่าพันธมิตรอย่าออกไปสร้างความวุ่นวายให้ประเทศชาติ แต่พวกพันธมิตรในบล็อกนั้นไม่เชื่อ โจมตีบทความนี้กันใหญ่ พอมาวันนี้คงรู้สึกเสียใจไม่น้อยที่ต้องบาดเจ็บล้มตายกันเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ชนิดที่พวกเขาเสียใจหนักกว่าเดิมเสียอีก

ลองอ่านคำเตือนของผมเมื่อคืนวันที่ 22 พ.ย.51 กันครับ


บอกตรง ๆ โอกาสชนะโดยไม่นองเลือดของคุณน้อยมาก แล้วถึงแม้ชนะแล้ว คุณก็จะไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ

ทางชนะโดยไม่นองเลือด คือ จู่ ๆ ทหารก็ปฏิวัติ โดยข้ออ้างด้านความปลอดภัยหรืออื่น ๆ ข้อนี้พลเอกอนุพงศ์พูดย้ำหลายครั้งแล้วว่าไม่ทำ หรือการที่รัฐบาลจะยอมยุบสภา ลาออก ไปง่าย ๆ รัฐบาลก็ไม่ออก ถ้าทำ เขาทำไปนานแล้ว ครั้นจะรอให้รัฐบาลโดนตุลาการสอย นายกสมชายจากไป แต่พลังประชาชนยังจับขั้วกันแน่น

ยิ่งถ้าหวังให้ พรรคฝ่ายค้าน+ 40 ส.ว.ลาออก เพื่อหวังให้รัฐสภาแกว่ง พวกนี้เขาก็ไม่ออก กินเงินเดือนต่อไป

สำหรับทางชนะนั้นพอมี แต่ก็ต้องนองเลือด ไม่ว่าเกิดจากฝ่ายใครทำ คุณจะยอมให้พี่น้องผู้เชื่อในแนวทางเดียวกับคุณอย่างสุดจิตสุดใจต้องเสี่ยงหรือ

นองเลือดแล้วพันธมิตรชนะนั้นอาจเกิดจาก 2 สถาน คือ ทหารมาปฏิวัติโดยความจำเป็น หรือมีพระบรมราชโองการเหมือนเช่นปี 35 ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ พอจะถือได้ว่าพันธมิตรชนะ

แต่พันธมิตรก็จะไม่ได้สิ่งที่ตนต้องการ อยู่ดี เพราะ

1. ฝ่ายที่คุณคิดว่าดี ไม่โกงกินชาติ นั้นมันไม่มีอยู่จริง คุณไว้ใจพรรคประชาธิปัตย์จริงหรือ หรือว่าจำเป็นต้องเลือกเขาเพราะเกลียดทักษิณมาก ลองใคร่ครวญผลงานในอดีตเขาก่อนก็แล้วกัน สำหรับทหารปฏิวัตินั้น เขาอาจมาล้างระบอบทักษิณจริง แต่คุณก็คงทรรบดีถึงสิ่งที่พวกเขาเคยทำในอดีต เอาแค่ส่งคนไปตามรัฐวิสาหกิจทั้งหลายก่อนก็แล้วกัน ดังนั้น สิ่งที่คุณว่าไม่ดีไม่งาม มันจะยังคงมีอยู่ต่อไป

2. ถ้าคุณยังคิดว่าจะกำจัดระบอบโกงกินนี้ได้ ด้วยการเมืองใหม่ ผมว่ายากมาก เพราะประเทศไทยนั้น นายทุน ขุนศึก ศักดินา เขาอยู่คู่สังคมไทยมานาน ได้ประโยชน์จากระบอบอุปถัมน์มานาน การเลือกตั้งแบบแบ่งตามจังหวัด ตามอำเภอ พวกเขาก็กำหนดเอง เพื่อบูรณาการแนวทางสันติแต่ได้ประโยชน์ในหมู่พวกเขา หากประชาชนจะแชร์อำนาจบ้าง ก็ต้องเข้ากรอบระบบที่พวกเขาวาง คุณคิดหรือว่า หากพวกเขาเสียผลประโยชน์ไป จะไม่สู้แบบที่เขาเคยสู้กับทักษิณ

เอาแค่สองข้อ ก็พอให้คุณตระหนักว่าเรื่องนี้คุ้มกับการล้อมรัฐสภาพรุ่งนี้ไหม

ถ้าคิดว่า คุ้มค่า ได้ผลลัพธ์เท่าไหร่ก็ช่าง สูญเสียอะไรบ้างก็ช่าง แต่วันนี้ขอชนะฝ่ายรัฐบาลก่อน ก็เชิญเถอะครับ

เพียงแต่ผมเกรงว่า นี่จะเป็นการ"ตีงูให้กากิน" หรือ ถึงชนะก็มียืดเยื้อ นี่ยังไม่ได้วิเคราะห์เรื่องตัวแปรฝ่ายตรงข้ามกับพันธมิตรเลยด้วยซ้ำ

วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ความจริงไข้หวัดมาร์ค ที่สรยุทธ์เผย มันคนละเรื่องกับที่เราถูกยัดเยียดให้รู้

การที่สรยุทธ์ พิธีกรข่าวช่อง 3 นำเอาดาราที่สูญเสียพ่อจาก "ไข้หวัดมาร์ค" มาออกทั้งเสียง ทั้งตัวตน เมื่อวานและวันนี้นั้น น่าจะทำให้คนที่ยังไม่รู้ได้รู้ซะ ตาสว่างกับไข้หวัดชนิดนี้ซะที อย่าได้งมอยู่กับความรู้ผิด ๆ ที่คนบางพวกกำลังสื่อ เพื่อปกปิดความไม่เอาไหนของตัวเอง

ความรู้แจ้งนั้นก็คือ

1. ไข้หวัดชนิดนี้น่ากลัวมาก ไม่ใช่แค่เป็นเองหายเองเท่านั้น เพราะถ้าคุณเจอแจ๊คพอทอย่างพ่อของดาราท่านนั้น คุณก็ตาย ไข้หวัดนี้แพร่พันธุ์เร็ว วันเดียวกินปอดไป 90% เกิดมาก็พึ่งเคยได้ยิน คนปกติเจอแค่ 2 วันก็อาจตายได้ ไม่ต้องรอนาน

2. อย่าไปเชื่อเรื่องคนกลุ่มเสี่ยงยังโง้นยังงี้ ตามที่คนชุ่ย ๆ ยัดเยียดข้อหาให้ คนแข็งแรงไม่มีโรคประจำตัวก็มีสิทธิตายได้เท่า ๆ กัน ต่อให้ได้ยาต้านเต็มที่ ถ้าโรคมันจะเอาชีวิตคุณ มันก็เอา

3. สถานพยาบาลทั้งหลายไม่ทันท่วงทีต่อโรคนี้หรอก เพราะบางแห่งไม่มีเครื่องมือตรวจ คุณเข้าไปเขาก็ว่าเป็นหวัดธรรมดา (ได้เงินจากลูกค้า 500 บาทเอาไว้ก่อน ไม่ได้จากค่าตรวจอีก 3000 ก็ไม่เป็นไร) ให้ยามากิน หากคุณเป็นหวัดหมู อีก 2 วันอาการคุณก็หนักแล้ว บางแห่งมีการตรวจด้วยราคาแพง คนจนตรวจไม่ได้ คนรวยตรวจได้แต่ก็รอผลอย่างน้อย 1-2 วัน อาการคุณอาจจะหนักแล้ว

4.มาตรการติงต๊องที่กำลังทะยอยออกมานั้นแก้ไม่ได้ เพราะโรคมันเต็มบ้านเต็มเมืองซะแล้ว ถึงจะเร่งแก้ แต่แก้เเบบลูบหน้าปะจมูก เช่น ปิดโรคเรียน ปิดสถาบันกวดวิชา แต่ไม่ปิดที่ชุมนุมชนใหญ่ ๆ เช่น ตลาด มหาวิทยาลัย โรงหนัง บริษัท ศูนย์ราชการ ผลก็คือ โรคยังแพร่กระจายได้อยู่ ไม่มีกระโยชน์เลย

เเค่ความจริง 4 ข้อนี่ก็ลำบากซะแล้ว คนก็ต้องลงไปเสี่ยงดวงกันเอาเอง โชคดี คุณก็จะไม่เป็นไข้หวัดหมู หรือเป็นก็ไม่ตาย แต่ถ้าโชคร้าย ใครก็ช่วยคุณไม่ได้

รักษาตัวทุกคนนะครับ

วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ประชุม ARF กับภัยคุกคามจากภายนอก

ช่วง 16-23 ก.ค.จะมีการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ( ASEAN Regional Forum ) ที่จังหวัดภูเก็ต งานใหญ่ระดับนี้ทางการคงตระเตรียมกำลังอย่งเต็มที่ ไม่ต้องการให้ทุกอย่างจบลงเหมือนกับที่พัทยาแล้วฝ่ายความมั่นคงก็ตกเป็นแพะรับปากอีก อย่างไรก็ตาม งานนี้ไม่ได้มีแต่เฉพาะคนเสื้อแดงที่มาแน่ แต่ต้องระวังอีกหลายกลุ่มเหลือเกิน เมื่อพิจารณาจากโจทก์ประเทศที่เข้าร่วมประชุมและชัยภูมิของสถานที่จัด


ขอแยกออกเป็นภัยคุกคามจากภายนอกและภายในเสียก่อน ภัยคุกคามการประชุมภายในนั้นคือดูเหมือนจะเตรียมรับกันอย่างเต็มที่ เนื่องจากทราบดีอยู่แล้วว่าคนเสื้อแดงจองกฐินรัฐมนตรีต่างประเทศคนนี้ข้ามปี ทุกเวทีที่อดีตนักเคลื่อนไหวทางการเมืองคนนี้เกี่ยวข้องต้องถูกคนเสื้อแดงประท้วง ต่างจากการประชุมอาเซียนวงอื่น ที่เป็นห่วงรองลงมาคือการเกรงว่าไฟใต้ที่รุนแรงขึ้นทุกวันจะลามไปถึงภาคใต้ตอนกลางด้วย ทุกวันนี้ผู้ก่อการร้ายมีลูกเล่นใหม่ ๆ แปลกและเหี้ยม จึงต้องมีมาตรการคุมเข้มการรักษาความปลอดภัยให้หนัก นอกจากนี้ที่ต้องมีการชุมนุมประท้วงแน่ ๆ ก็คือ ผู้เดือดร้อนจากโครงการของรัฐหรือเอกชนรายใหญ่ เกษตรกรผู้เจอปัญหาพืชผลตกต่ำ เอ็นโจอีที่นัดกันมากับคนที่เจอพิษเศรษฐกิจและคิดว่าเป็นฝีมือของรัฐบาลชุดนี้ และอื่น ๆ ซึ่งไม่ถึงกับก่อความรุนแรง แต่ก็สร้างความเหน็ดเหนื่อยแก่ฝ่ายสกัดกั้นไม่น้อย บทความนี้จะไม่กล่าวถึงประเด็นภายในนี้


ภัยคุกคามจากภายนอกนั้นคือภัยคุกคามที่ติดตามประเทศที่เข้าร่วมประชุมมา ส่วนใหญ่ไม่เกี่ยวกับไทยโดยตรงแต่เวทีการประชุม ARF นั้นเป็นเวทีที่ตัวแทนถึงขั้นระดับรัฐมนตรีของประเทศดัง ๆ มาเจอกัน หากคนกลุ่มใดต้องการโชว์ผลงานของตนให้เป็นข่าวระดับโลกก็อาจใช้เวทีนี้เป็นที่แสดงผลงาน นี่คือผลกระทบที่เป็นผลิตผลของยุคโลกาภิวัตน์ซึ่งใคร ๆ ก็มาแสดงออกเพื่อกระจายข้อเรียกร้องของตนแผ่กว้างอกไปได้ การแสดงออกบางอย่างนั้นอาจแค่ควบคุมให้อยู่ในความสงบบนหรือข้างผิวจราจรเท่านั้น แต่บางอย่างต้องถึงขนาดให้เกิดขึ้นไม่ได้กันเลย และการควบคุมรักษาความปลอดภัยนั้นไม่ใช่จำกัดแค่สถานที่ประชุม แต่ต้องครอบคลุมทั้งเกาะกันทีเดียว


ผู้แทนประเทศที่เข้าข่ายเสี่ยงต่อการก่อการร้ายสากลได้เดินทางมาประชุมในคราวนี้หลายราย ที่สำคัญคือตัวแทนชาติตะวันตก ทั้งสหรัฐ ฯ สหภาพยุโรป ออสเตรเลีย แคนาดา นิวซีแลนด์และสิงคโปร์ เพราะประเทศเหล่านี้ทำสงครามต่อต้านก่อการร้ายเชิงรุกในหลายพื้นที่ของโลก ชีวิตและทรัพย์สินของพลเมืองประเทศเหล่านี้มีโอกาสถูกการปองร้ายจากผู้ก่อการร้ายสากลอยู่แล้ว ประเทศอื่นที่น่าเป็นห่วงเช่นกัน คืออินโดนีเซีย ต้นทางของกลุ่ม JI ผู้ร้ายตัวเอ้ของภูมิภาค แม้ว่าปัจจุบันกลุ่มนี้กำลังอยู่ในระหว่างฟื้นฟูกำลัง เพราะสูญเสียบุคลากรไปมาก แต่ก็อาจจะตามมาก่อเหตุในนี้ได้ ฟิลิปปินส์ที่กำลังมีปัญหาการสู้รบกับกลุ่มติดอาวุธหลายกลุ่มก็ตกที่นั่งเดียวกับอินโดนีเซีย JI มีฐานที่มินดาเนาด้วยและพร้อมปฏิบัติการเพื่อไม่ให้สันติภาพเกิดขึ้นได้ และที่กำลังมาแรงและต้องระวังไว้คือ คู่กรณีอย่างอินเดียกับปากีสถาน มาร่วมประชุมด้วย จริงอยู่ที่ผู้ก่อการร้ายเอเชียใต้ไม่มีประวัติก่อเหตุนอกพื้นที่ แต่ในรอบปีที่ผ่านมากลุ่มหัวรุนแรงก่อเหตุเพื่อหวังผลทางศาสนาและการเมืองอย่างน่าสะพรึงกลัวหลายครั้งจึงควรระวังไว้

กลุ่มต่อต้านรัฐบาลในประเด็นเฉพาะที่คาดว่ามาแน่ก็คือกลุ่มต่อต้านจีน กรณีละเมิดสิทธิมนุษยชนในทิเบตและซินเจียง อาจจะมีผู้ประท้วงจากไต้หวันด้วย กลุ่มต่อต้านรัฐบาลทหารพม่านั้นก็คงมาเช่นกัน ประเด็นร้อนเวลานี้มีทั้งการกักตัวอองซาน ซูจีและนักโทษการเมืองจำนวนมาก การปราบปรามชนกลุ่มน้อยชายแดนไทย และการทอดทิ้งชาวโรฮิงญา นอกจากนี้อาจมีกลุ่มชาวทมิฬที่ประท้วงศรีลังกาที่พึ่งเอาชนะสงครามกับกลุมพยัคฆ์ทมิฬอีแลมและยังจัดการกับปัญหาผู้ลี้ภัยไม่เรียบร้อย กลุ่มประท้วงเกาหลีเหนือกรณีท้าทายมติสหประชาชาติ ทดลองนิวเคลียร์และขีปนาวุธคุกคามเอเชียตะวันออกไกล กลุ่มประท้วงเวียดนามกรณีชนกลุ่มน้อยชาวเขาและ และที่น่าสนใจคือ ขณะที่ปัญหาชายแดนไทยกับกัมพูชาคุกรุ่น ก็อาจมีผู้เดินทางไปประท้วงรัฐบาลกัมพูชาที่เล่นบทยั่วยุไทยด้วยการรุกเข้ายึดพื้นที่ทับซ้อนหลายจุดในเวลานี้ อย่างไรก็ตาม การประท้วงเหล่านี้ไม่น่าที่จะมีความรุนแรง

แม้ว่าการรักษาความปลอดภัยบริเวณสถานที่และการอารักขาผู้เข้าร่วมประชุมคงอยู่ในระดับที่ยอดเยี่ยม แต่พึงระวังการก่อเหตุในพื้นที่อื่นด้วย เช่นในสถานที่สาธารณบนเกาะ นอกจากนี้การที่ภูเก็ตเป็นเกาะ มีข้อดีตรงทำเลผาสูงทำให้ยากต่อการเข้าถึงของผู้ก่อการร้าย อย่างไรก็ดี การก่อการร้ายที่นครมุมไบของอินเดีย เมื่อ ๒๗ พ.ย.๕๒ นั้น ผู้ก่อการร้ายได้ใช้การเข้าถึงจากทะเล ขึ้นฝั่งแล้วแยกจุดปฏิบัติการในเวลาเดียวกัน การที่อินเดียคาดไม่ถึงการระวังป้องกันจากทะเลและการโจมตีสถานที่สาธารณะนั้นมีส่วนทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บในเหตุการณ์ครั้งนั้นจำนวนมาก

กรุงเทพธุรกิจ ต้นเดือน ก.ค.52

วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ผู้ไม่หวังดีต่อการประชุมอาเซียน

และเเล้วก็มาถึง การประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนกับคู่เจรจาที่หวังจะขยายความร่วมมือให้เต็มรอบกับประเทศที่มีศักยภาพของทั้งเอเชียตะวันออก ออสเตรเลียและเอเชียใต้ การช่วงชิงผลประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ของภูมิภาคนั้นไม่เคยรอใคร หากประเทศไทยพ่ายแพ้ แล้วใครเล่าที่ได้ชัยชนะ


ไม่อยากโทษว่าใครที่ทำให้ไทยจัดการประชุมคราวก่อนที่พัทยาล่ม ถ้าเข้าข้างรัฐบาลก็คงต้องป้ายผิดไปที่เสื้อแดงบุกโรงแรมการประชุม จนต้องพาผู้เข้าร่วมประชุมหนีตายกลับบ้านอย่างทุลักทุเล แต่หากเข้าข้างเสื้อแดง ก็ต้องโทษรัฐบาลว่าพามวลชนจัดตั้งออกมาหาเรื่องปะทะ สร้างสถานการณ์ให้ดูใหญ่โตจนถึงขั้นนั้น เพื่อหาข้ออ้างล้อมปราบเสื้อแดง ไม่ว่าเรื่องลับจะเป็นอย่างไร เรามาให้ความสนใจกับการประชุมในทางยุทธศาสตร์ดีกว่า


ประเทศไทยต้องการการประชุมครั้งนี้มากกว่าชาติใด จริงอยู่ที่ชาติ”อยากกู้”อื่น ๆ ของอาเซียนก็ต้องการเหมือนกันที่อยากเห็นรูปธรรมของกองทุนที่ชาติเอเชียตะวันออกจะโปะลงมาช่วยอาเซียนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภูมิภาค แต่พวกเขาไม่สามารถรอ ต.ค. ได้หรอก ถึงตอนนั้นก็คงวิ่งกันหาความช่วยเหลือไม่ทางใดก็ทางหนึ่งจนได้ไปแล้ว แต่ไทยที่มีโอกาสดีฝังเพชร ปีนี้ควบทั้งเจ้าภาพและเลขาธิการตำแหน่ง กลับสูญเสียทั้งเครดิตและศักดิ์ศรีชนิดไม่รู้ว่าจะฟื้นเมื่อไหร่ แล้วอย่านึกว่าการจัดประชุมระดับอื่นจะทางโล่งเหมือนประชุมอาเซียนกลาโหมและสาธารณสุข เพราะเวทีใด ๆ ที่รัฐมนตรีกษิต ภิรมย์ไปเกี่ยวข้องก็อาจจะโดนต่อต้านอย่างหนักไปจนถึงสิ้นปี


ดูเผิน ๆ แต่ละชาติก็อยากให้อาเซียนเข้มแข็ง แต่ก็มีหลายประเทศที่มีวาระของตนอยู่ เช่น ในอาเซียนเอง ความอิจฉาริษยาต่อไทยที่มีภูมิรัฐศาสตร์เหมาะต่อการประสานพันธกิจเอเชียแปซิฟิกที่สุด ทำให้เกิดกรณีแทงลับหลังมานานแล้ว ในอดีตก็มีเรื่องของการออกข่าวถล่มไทยเกินจริง หรือยัดสินบนคนไทยให้เอื้อประโยชน์ชาติอื่นเข้าไว้ ทุกวันนี้ก็อาจมีคนบางกลุ่มเล่นวิธีนี้อยู่ ชาตินอกภูมิภาคบางชาติ ก็ไม่อยากเห็นอาเซียนเป็นสนามเด็กเล่นให้คู่แข่งทางยุทธศาสตร์ครอบงำจนเกินไป ก็เลยต้องทำให้อาเซียนอ่อนแอเข้าไว้


และหากรัฐบาลยังคิดง่าย ๆ ว่าจัดที่ภูเก็ตนั้นสะดวกทุกอย่าง เพราะเป็นเมืองท่องเที่ยวนั้นก็ขอให้ระวังเรื่องการก่อการร้ายให้จงหนัก ทำเลที่ยากต่อการรักษาความปลอดภัยและความโด่งดังของภูเก็ตอาจเป็นเวทีให้พวกเขาได้โชว์ หากไทยพลาดท่าที่นั่น การท่องเที่ยวก็จบไปด้วย

ดัดแปลงขาก มองมุมยุทธศาสตร์ คมชัดลึก 24 พฤษภาคม 2552

วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ติดตามงานเขียนเพิ่มเติมที่คมชัดลึก ทุกวันอังคาร

ช่วงนี้ คุณกวี จงกิจถาวร ผู้เขียนคอลัมน์โลกสาระจิปาถะ หน้า 4 คมชัดลึก วันอังคารป่วย ผมจึงช่วยเขียนแทนไปพลางก่อน

ด้งนั้นจึงเชิญชวนอ่านบทความของผมเพิ่มเติมที่คอลัมน์ดังกล่าว

http://www.komchadluek.net/column/บทความ/บทความ_โลกสาระจิปาถะ.html/1/


เนื้อหาจะเป็นการต่างประเทศเป็นหลัก โดยเขียนถึงเหตุการณืในต่างแดนที่อาจเกี่ยวข้องกับไทย โดยเฉพาะด้านความมั่นคง บางอย่างก็คล้ายกับที่เขียนในมองมุมยุทธศาสตร์ ลองดูนะครับ

วันเสาร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เสี่ยงตายห่าทั้งประเทศ เพราะพวกคุณน่ะไม่เอาไหน

เห็นการอ้างของพวกผู้รับผิดชอบสาธารณสุข กับพวกหมอ นักวิชาการและนักการเมือง ที่ออกมาพูดเรื่องไข้หวัดหมูว่า ไม่น่าเป็นห่วงมาก ล้างมือปิดจมูกก็โอเค ตายแค่นี้รับได้ คนตายส่วนใหญ่อ่อนแอเป็นโรคอยู่แล้ว ส่วนการดูแลของรัฐนั้นถูกต้องตามขั้นตอนทุกอย่าง....จะอ้วกครับ

ถ้าไม่เพราะความไม่เอาไหนของพวกนี้ ประเทศชาติจะไม่เสี่ยงอย่างนี้หรอก

คำพูดพวกนี้ไม่ได้ทำให้คนใจเย็นลง แต่ยิ่งสมเพชระคนโกรธแค้นพวกที่พยายามปิดบังความจริงและแก้ไขเฉพาะหน้าไปวัน ๆ มากขึ้น

ประเทศไทยมันมีประชากรที่ติดเชื้อง่ายเป็นพิเศษ ลักษณะภูมิประเทศที่ง่ายต่อโรคระบาด หรือยังไงจึงมีคนติดเชื้อมากกว่าอินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซียเป็นสิบเท่า ยิ่งคนตายยิ่งไม่ต้องพูดถึง ถ้าแค่ตรรกะนี้ไม่ทำให้พวกห่วยยอมรับตัวเอง เลิกตะแบงไปเรื่อยแล้วล่ะก้อ แสดงว่าพวกนี้....ยิ่งกว่าที่เราคิดไว้มากนัก

โทษคนเหล่านี้เถอะ ไม่ต้องไปโทษคนตายว่าเป็นโรคอื่นมาก่อนเเล้วหรอก เพราะคนแข็งแรงก็ตายได้

1. โทษพวกที่หวังแต่รายได้จากเอาแต่การท่องเที่ยว โดยในช่วงแรกทั้งปิดข่าว ทั้งไม่ยอมตรวจคนเข้าออกประเทศ ไม่ยอมตรวจเข้มที่สาธารณะ โธ่ สุดท้ายพังกันหมดแบบนี้ แล้วแม้แต่การท่องเที่ยวก็เจ๊ง

2. โทษพวกที่เอาเปรียบประชาชน ค่าตรวจโรคบ้าบออะไร 3-4000 ใครมันจะไปตรวจได้ทุกคน กว่าจะไปตรวจอาการก็เพียบหนักแล้ว และก็ตายไป

3. โทษพวกที่ไม่ไยดีราษฏร จนบัดนี้ยังทำทองไม่รู้ร้อน ไม่ออกวาระฉุกเฉิน ไม่ออก พรบ.โรคติดต่อ แก้ปัญหาหน่อมแน้มไปวัน ๆ ไม่รู้ว่างบประมาณเอาไปทำอะไรหมด รณรงค์ประสาอะไรกัน ไม่เห็นมีคนคาดผ้าปิดจมูกสักเท่าไหร่ หรือว่างบประมาณเอาไปผลาญเล่นที่บุรีรัมย์ ภูเก็ต และนิวซีแลนด์กันหมด

4.โทษพวกโง่แล้วอวดฉลาด ใจเย็น ยังหลอกประชาชนต่อไปว่าเดี๋ยวก็หายเอง คนติดเป็นแสนเป็นล้าน อีก 3 ปีก้ยังเป็นกันอยู่ นี่ถ้าลูกหลานพวกคุณติดโรคนี้บ้าง ยังเฉยอย่างนี้ไหม

5. โทษพวกหน้าทน ทำผิดพลาดขนาดนี้ยังไม่ลาออกอีก ไม่รับผิดชอบอะไรเลย ต้องรอให้พ่อแม่คนตายเขาบุกชกหน้าก่อนใช่ไหม

ทำต่อไปนะครับ ไอ้แค่เปิดป้าย พูดปาฐกถา สร้างภาพถ่ายรูป ยิ้มหวานไปวัน ๆ น่ะ ไม่ต้องทำอะไรมากกว่าสติปัญญาของตนหรอก เดี๋ยวหวัดหมูมันก็หายไปเอง ถ้ามันจะหาย...คิดยังงี้ใช่ไหม

คร้าบ หวัดสายพันธุ์ 2009 ไม่น่ากลัวหรอก ที่น่ากลัวคือการกลายพันธุ์เป็นหวัด 2010 คนคงตายเยอะกว่านี้ แต่เบาใจได้ ไม่มีหวัด 2011 แน่นอน เพราะคนไทยตายหมดแล้ว

วันพุธที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

สุวิทย์แจงเหตุที่ไทยแพ้กัมพูชาเรื่องมรดกโลก

เมื่อกี้เปิดไปแวบ ๆ ช่อง 11 เอาสุวิทย์ คุณกิตติ มาแก้ตัวเรื่องไทยพลาดท่าในที่ประชุมมรดกโลก ได้ดูตอนท้าย ๆ ไม่นานนัก แตก็หดหู่ใจยิ่ง เพราะรัฐบาลไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ส่งคนไม่รู้เรื่องอย่างสุวิทย์ไปนั่งเป๋อเหล๋อ เลยจบกัน

สุวิทย์ บอกเองว่า ไปประชุมมรดกโลกแบบผู้สังเกตการณ์ นั่งเฉย ๆ ไม่มีใครคุยด้วย คณะกรรมการ 21 ท่านคุยกันเอง แล้วก็เจรจาต่อรองกับกัมพูชาต่าง ๆ นานา ขณะที่กัมพูชามีการจัดเตรียมคนเข้าประชุมมรดกโลกอย่างเป็นระบบ มีทั้งรองนายก 1 นาย รัฐมนตรีอีก 2 นาย เจ้าหน้าที่หลายระดับ รวมเป็นทีมใหญ่ 20 กว่าคน เข้าเจรจากับคู่เจรจาของฝ่ายมรดกโลกทุกระดับ ชนิดประกบกันเลย ผลจึงออกมาอย่างที่เห็นคือ คณะกรรมการมรดกโลกให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนไปแล้ว รอแต่จัดทำแผนให้สมบูรณ์

ความจริงเรื่องแผนสมบูรณ์นี้ กัมพูชารับปากเมื่อปีก่อนว่าจะเคลียร์ใน กพ.52 นี้ จนผมเกรงตอนนั้นว่าอาจรบกันเละเพื่อให้บรรลุแผนให้ได้ เพราะทหารไทยยังขวางทางกัมพูชาอยู่ แต่มรดกโลกยังใจดีเลื่อนให้อีกปี เลยยังไม่รบกัน แต่ในที่สุดก็คงรบกันอยู่ดี เชื่อเถอะ

สุวิทย์ อ้างว่าตนเองไม่มีประสบการณ์ระดับนี้ ไม่รู้เรื่องเลย ตัวเองแค่เคยตามคณะสิทธิ เศวตศิลา ตอนทำงานด้านต่างประเทศเมื่อปี 2534 เท่านั้นจึงพอรู้อะไรบ้าง แต่งานใหญ่ระดับดีเฟนซ์ดินแดนกับฝรั่งนี้ ไม่นึกว่าจะขนาดนี้

โทษใครล่ะนี่ รัฐบาลไม่เห็นความสำคัญของคณะกรรมการมรดกโลก เพราะอะไรก็ไม่รู้ ไม่ตระหนักเลยว่าถึงคณะกรรมการนี้เป็นสายวัฒนธรรมและวิชาการ แต่มีอิทธิพลทางการเมืองที่เขมรมันเอาเป็นพวกเพื่อให้ได้ทั้งการเมืองและเศรษฐกิจ ผลจึงทำให้เขมรมันชนะไทยในประเด็นนี้

ฝรั่งนักวิชาการอุษาคเณย์มันปลื้มเขมรมานานแล้วว่าเป็นเจ้าของอารยธรรมโบราณแถบนี้ทั้งหมด เมื่อทุกอย่างสมประโยชน์สอดคล้องเลยเทการสนับสนุนไปที่เขมร เราสู้ยากตั้งแต่ในมุ้ง แล้วดันเอาคนไม่เก่งไปสู้ก็ยิ่งแพ้

นี่ยังไม่รวมถึงการใส่ร้ายป้ายสีกันเองเมื่อปีที่แล้ว จนไทยต้องเสียดินแดนของจริง ชนิดทั้งข้าราชการทหารและพลเรือนเสียใจกันหมด เหนื่อยเพื่อปกป้องชาติจนเกือบสำเร็จแล้วไม่พอ ดันโดนใส่ร้ายว่าขายชาติ ถูกฟ้อง แล้วชาติก็เสียดินแดนโดยพฤตินัยไปจริง ๆ นี่ก็อาจจะรบกันเสียเลือดเนื้ออีก

แล้วคนที่ก่อเรื่องนี้ตอนนี้ทำเงียบ เลียฮุนเซ็น ซื้อเวลาไปเรื่อย นึกหรือว่าเรื่องมันจะจบแค่นี้

วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2552

บางรักซอย 9 กับรสนิยมการเมืองป้ายสีฝ่ายแดง

ผมเป็นคนชอบดูละครเรื่องนี้ทางช่อง 9 เพราะตลกและมีสาระ แต่ก็หนักใจในความไม่เป็นการทางการเมืองของละครเรื่องนี้

ช่วงที่พันธมิตรกำลังเริงร่าบนถนนมีสองสามตอนที่ละครเรื่องนี้ออกแนวสนับสนุน เช่น ให้ตัวละครตัวหนึ่งพูดว่า "ทักษิณ" อีกตัวไอในลำคอดังว่า "คุก คุก" การเลือกข้างเช่นนี้ทำให้ผู้จัดละครโดน แจ๋ว ดอกจิกของไทยรัฐจวกไปหนนึงแล้ว เลยเงียบไป

พอมาวันนี้เอาอีกแล้ว ไม่รู้ว่าโดนใบสั่งหรือว่าเป็นความรู้สึกลึก ๆของคนจัด ทั้งที่ในหลายตอนที่ผ่านมาก็หลีกเลี่ยงประเด็นการเมืองอย่างเต็มที่

เป็นที่รู้กันว่าว่าละครเรื่องนี้เก่งด้านโฆษณาแฝง ทำได้เนียน วันนี้ก็นำกลวิธีนี้มาใช้กับละครตอนที่ฝ่ายพระเอกแข่งกีฬาสีเด็กอนุบาลกับคู่แข่ง ผมเริ่มเอะใจตั้งแต่ที่เห็นทีมพ่อแม่ลูกของฝ่ายคู่แข่งใส่สีแดงล้วนแล้ว (ปกติละครเรื่องนี้จะหลีกเลี่ยงสีเหลือง สีแดง ถ้าจะมีคนใส่สีแดง คนนั้นจะเป็นชนชั้นล่างอย่างคนใช้ในเรื่อง ไม่มีทางที่ระดับดาราจะใส่สีแดงเด็ดขาด)

เนื่อเรื่องคือ ฝ่ายพระเอกแข่งกีฬาแล้วเข้าเส้นชัยไปตีกะดิ่งหลังทีมสีแดง ซึ่งก็น่าจะเป็นฝ่ายแพ้ แต่กรรมการอ้างว่าตามกฏแล้ว ทีมสีแดงทำผิด เพราะพ่อแม่ลูกไม่เข้าเส้นชัยพร้อมกันทั้ง 3 คน แต่ทีมของพระเอกเข้พร้อมกัน จึงปรับทีมสีแดงแพ้

ทีมสีแดงโดยตัวพ่อจึงโวยวายเหมือนนักเลง ขู่จะฟ้องกระทรวงศึกษา แม้แต่เมียเข้าห้ามก็จะทะเลาะกัน พระเอกจึงเข้าไปห้ามสีแดงตัวพ่อโดยพูดว่า "ผมจะไม่อยากยุ่งหรอก ถ้าลูกคุณไม่นั่งร้องไห้ เพราะเห็นครอบครัวทะเลาะกัน ดูสิเรื่องเล็กแค่นี้แค่นี้ยังทะเลาะไม่ยอมรับกติกา แล้วเรื่องใหญ่ระดับชุมชนสังคมจะไม่วุ่นวายเหรอ น่าจะกลับไปดูครอบครัวตัวเองซะก่อน"

เป็นไงครับ สื่อถึงอะไร เขาหาว่าใครเป็นคนผิด แล้วกรรมการก็ชูมือให้ฝ่ายพระเอกดีใจกัน เพราะชนะได้อำนาจรัฐ ..เอ๊ย..ได้ถ้วย

แต่ขอโทษ คนเขียนบทลืมตรงนี้ไปหรือเปล่าก็ไม่ทราบ เพราะตามกติกาที่กรรมการว่าไว้คือ พ่อแม่ลูกเท่านั้นร่วมตีระฆังก่อนจึงชนะ แต่ครอบครัวพระเอกนั้นไม่ใช่พ่อแม่ลูกครับ หลอกลวงตั้งแต่ต้น เพราะพ่อแม่ตัวจริงของเด็กมาเล่นไม่ได้ เลยต้องให้พระเอกนางเอกเล่นแทน

ประเด็นนี้ทำเฉยครับ ทำให้คิดไปว่า อ้อ ถ้าเป็นเสื้อแดงผิดกติกานิดเดียวกรรมการจับแพ้เลย แถมโดนสั่งสอนอีก แต่ถ้าเป็นพวกเทพแล้ว ถึงผิดกฏมาตั้งแต่ต้น ฉันก็จะอุ้มให้เป็นผู้ชนะให้จงได้

วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2552

27 มิ.ย.

27 มิ.ย.วันวัดใจ น่าห่วงว่าอาจเกิดเรื่อง เพราะมีคนจ้องจะให้เกิดเรื่อง

การอ้างแผนตากสิน 2 ที่ไม่น่าเป็นจริง แต่หากทำจะเกิดผลลัพท์สูงสุดนั้น ดูเหมือนว่ามีบางกลุ่มรับลูก และอาจก่อให้เกิดความรุนแรงในลักษณะ ชิงเล่นงานก่อน

เพี้ยง ขอให้คราวนี้ทำนายผิด เพราะไม่อยากให้เกิดการนองเลือด

วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2552

มรดกจากยุคทักษิณ เกาหลีทุกวันนี้ยังใช้ตาม

เมื่อกี้ไปฟังท่านทูตเกาหลีใต้บรรยายเรื่องความร่วมมือเกาหลี-อาเซียน ที่มีความคืบหน้า เวทีล่าสุดคือที่อภิสิทธิ์ไปประชุมที่เกาะเชจู 1-2มิ.ย.52 นั่นแหละ

ท่านก็ว่ามีความคืบหน้าทำข้าตกลงกันหลายเรื่อง เอฟทีเอเอย ต่อต้านนิวเคลียร์เอย เเละที่เกาหลีถือว่าสำคัญคือ 3 โครงการที่เขาเสนอ คือร่วมมือด้านวัฒนธรรม การพัฒนาและการสร้างโลกสีเขียว ก็ว่ากันไป

แต่ผมมาสะดุดตรงที่ ท่านพูดถึงแนวทางความร่วมมือของอาเซียนกับเกาหลี ในการป้องกันวิกฤตเศรษฐกิจหลังจากเจอตัวอย่างมาเมื่อปี 2540 ก็คือ ใช้ 3 กลไกนี้

- Chingmai Initiatives ที่ต่างลงขันกันเป็นทุนสำรอง ใครคิดจะโจมตีค่าเงินบาทแบบปี 40 ก็เอาตรงนี้ไปอุด แนวคิดนี้คนคิดคือใครผมยังไม่ได้ค้นข้อมูล แต่ทำได้จริงโดยโอฬาร ไชยประวัติ รองนายกยุคสมชาย

(ตรงนี้มีเกร็ดนิดนึง คือ แต่ละชาติช่วยกันลงเงินไป แต่มีข่าวจากพวกเสื้อเหลืองว่า รัฐบาลสมชายเอาเงินทุนสำรองของชาติไปละลายสู้ค่าเงินบาทหมดแล้ว รัฐบาลอภิสิทธิ์จึงต้องกู้ เรื่องนี้จริงหรือโกหก ใครทราบช่วยบอกผมทีเถิด)

- ASIA BOND ประมาณ 30 ชาติออกพันธบัตร เพือชาติเอเชียจะได้ช่วยเหลือกันเองเหมือนกัน แนวความคิดนี้เป็นของทักษิณ ชัด ๆ ผลักดันมาตั้งแต่ปี 45

- East Asia Community คือให้เอเชียแปซิฟิกรวมตัวให้มากที่สุด จากอาเซียน+3 ไปจนรวมเอเชียตะวันออกไกลได้หมด จนฝรั่งต้องมาขอแจมกลายเป็น EAC ทุกวันนี้ ทักษิณก็คิดเป็นคนแรกอีก


3 กลไกนี้ผลักดันมาตั้งแต่ทักษิณ แต่ท่านทูตเกาหลีอ้างว่าเกาหลียึดหลักนี้มานานแล้ว ก็ไม่น่าเเปลกใจ เพราะท่านทูตเป็นคนที่พึ่งแต่งตั้งโดยรัฐบาลของประธานาธิบดี อี เมียง บัก ที่เขาว่ามีแนวคิดเป็นแบบทักษิณ อย่างยิ่ง คือ

- รวยจากการเป็นนักธุรกิจ เป็นทุนนิยมที่อยากเอาการบริหารธุรกิจมาใช้บริหารประเทศ
- ชอบเมกะโปรเจคท์ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริง
- มีปัญหากับรัฐวิสาหกิจ เพราะพยายามจับแปรรูป เพราะคิดว่าประสิทธิภาพงานจะดีกว่าเสือนอนกิน
- ยึดหลักให้ทุนประชาชน เพื่อให้ประชาชนผลิตกลับมา ไม่ใช่เอาแต่แจก แล้วปีหน้าแจกใหม่

นักวิจารณ์กล่าวว่า คนมีนโยบายแบบนี้ก็ เช่น มากาเร็ต แธตเชอร์ของอังกฤษ โรนัลด์ เรแกน ของอเมริกา ผลก็คือ รัฐวิสาหกิจโดนจับแปรรูปหมด คนประท้วงกันใหญ่ แต่นานไปประเทศกลับเจริญแบบยั่งยืน คนสรรเสริญมากกว่าด่า

ยุคของอีเมียงบัก เราก็คงต้องดูต่อไป ส่วนยุคของทักษิณนั้นผ่านไปแล้ว ท่านใดที่มีชีวิตอยู่ในยุคทักษิณ ช่วยตอบผมทีสิว่าประเทศเจริญกว่ายุคของ คมช. หรือยุคของอภิสิทธิ์ หรือเปล่า หรือว่าสองยุคหลัง เจริญกว่า

วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2552

อนาถใจ รัฐบาลไทยมีแต่ง้อต่างชาติ

ไม่รู้เป็นอะไร รู้สึกว่าห่อเหี่ยวใจสิ้นดีที่ เดี๋ยวนี้มีแต่ข่าวว่า ไทยเราอ่อนน้อมต่างชาติเขาไปหมด ทั้ง ๆ ที่วันนี้เรามีศักดิ์ศรีเป็นถึงประธานอาเซียน แต่ดูมันกระจอกสิ้นดี ไม่เกรงขาม น่าสง่างามเอาเลยในเวทีโลก

นึกถึงเมื่อก่อน ที่นายกคนที่ถูกด่าว่าโกงชาติอยู่ ทำไมต่างชาติมันเกรงใจให้เกียรตินักหนาก็ไม่รู้ ได้เป็นทั้งผู้จัดประชุมเจรจาสันติภาพให้หลายประเทศ ก่อตั้งกองทุนการเงินเอเชีย จัดงานใหญ่โตอย่าง APEC และฉลองให้ในหลวง ชนิดที่ใครก็ซูฮก เรื่องแบบนี้ถึงคนที่มีอคติต่อทักษิณ ก็ต้องยอมรับว่ายุคนั้นไทยดูมีภาพลักษณ์สูงในเวทีระหว่างประเทศจริง ๆ

ยุคนี้ล่ะครับ

เรื่องแพนด้า ดีใจกันจะเป็นจะตายที่ได้ลูก แล้วจะไปง้อจีนขอให้รัฐบาลปักกิ่งยอมให้ลูกแพนด้าอยู่ในไทยต่อ โธ่ ช่างไม่รู้กันเลยหรือว่าจีนให้แพนด้าเป็นสื่อเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองนานแล้ว ไต้หวันคู่ปรปักษ์รู้ทันเลยไม่รับเอามาไว้เลย ฝรั่งเขารับ เพราะต้องการมีไมตรีกับจีน แต่เขาก็ไม่คลั่งขนาดที่ต้องบินไปอ้อนวอนจีนขอเลี้ยงต่อ ซึ่งมีหรือที่จีนจะหักหาญน้ำใจ

ในเมื่อจีนไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว เรื่องอะไรต้องออกข่าวใหญ่โตในเชิงที่คนระดับ รมต.ไทยต้องไปอ้อนวอนเขาล่ะครับ แล้วไม่มีใครพูดมั่งถึงทูตสันถวไมตรีในหลวงส่ง"สมเสร็จ" สัตว์ที่มีเฉพาะในไทยไปให้จีนเลี้ยงตั้งแต่ปี 2524 ป่านนี้มันตายไปหรือยัง มีลูกหรือเปล่า จีนทำยังไงบ้าง ไม่พูดบ้างล่ะครับ

ล่าสุดที่เจ็บใจคือ การที่นายกบินไปคืนโบราณวัตถุให้เขมรถึงพนมเปญ เซ้นจ์มันเหมือนกับที่พระมหาจักรพรรดิ กษัตริย์อยุธยาต้องมอบบรรณาการช้างเผือกให้บุเรงนอง กษัตริย์พม่า ที่เข้มเเข็งกว่า ยังไงยังงั้น

ถูกล่ะ ที่โบราณวัตถุเป็นของเขมร ควรคืนให้เขาไป แต่...

ทำไมต้องบินไปคืนถึงที่ ออกข่าวใหญ่โต ในยามที่เรามีปัญหาชายแดนกับกัมพูชา ทั้งนายกและ รมว.กต.ควรกร้าวใส่ฮุนเซ็น หรืออย่างน้อยต้องแสดงท่าทีว่าเราเอาจริงกับการล้ำแดนของทหารเขมร ไม่ใช่การยิ้มระรื่น อ่อนน้อมคืนของให้เขา เหมือน "ผมเกรงใจพี่คร้าบบบ"

ทำไมไม่ให้ระดับอธิบดีกรมศิล์ปเอาไปคืนเงียบ ๆ อภิสิทธิ์เเสดงเองอย่างนี้รู้ไหม คนเขมรยิ่งฮึกเหิม คนไทยยิ่งใจฝ่อ

การแสดงออกแค่เรื่องแพนด้ากับโบราณวัตถุแบบนี้ แสดงว่ารัฐบาลไม่รู้หลักขวัญและกำลังใจคนไทยเลย นึกแค่ว่าขอให้ฉันได้โชว์ได้ออกงานระหว่างประเทศอะไรก็ได้ก็ถือเป็นการทำงานให้ชาติแล้ว คิดอย่างนี้มันแค่ระดับข้าราชการประจำ รู้ไว้ด้วยว่าทุกท่วงท่าการแสดงออกในเวทีโลกนั้น เราต้องแสดงอย่างมั่นใจ ไม่เป็นรองชาติอื่น ให้คนไทยที่อยู่หลังคอยเชียร์ มีความฮึกเหิม ถ้าท่านทำได้ คนไทยก็จะมีกำลังใจสู้ชีวิต รวมพลังผลักดันชาติต่อไป ไม่เช่นนั้นก็ล้มเหลวกันทั้งประเทศ รวมทั้งพวกท่านด้วย

วันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2552

สังคายนาระบบเอาเปรียบคนตายของไทย กับการตายของคาร์ราดีน

เชียร์ครับ

วันนี้เอง ญาติพี่น้องของดาราเดวิด คาร์ราดีนที่มาตายปริศนาในไทย ประกาศเอาเรื่องจนถึงที่สุดกับบุคคลหรือนิติบุคคลใดก็ตาม ที่ถ่ายภาพคาร์ราดีนแขวนคอผูกจู๋ตายคาห้องพัก ในข้อหาละเมิดความเป็นส่วนตัวและทำร้ายจิตใจพวกเขา

เอาเลยครับ คนและสื่อพวกนี้หากินอย่างนี้ แลกกับเงินมานานแล้ว

คนไทยส่วนใหญ่และญาติพี่น้องคนเจ็บคนตายอึดอัดใจมานานแล้ว ที่เวลาญาติพี่น้องของเขาโดนข่มขืนบ้าง ถูกฆ่าบ้าง เป็นเหยื่อผู้บริสุทธิ์แท้ ๆ กลับโดนสื่อเอาทั้งรูปถ่าย ที่อยู่ บัตรประชาชน สภาพศพ ลงหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ ทำไปเพื่ออะไร เพื่อความสะใจและได้เงินจากยอดขายของคนที่ระทึกไปกับการอ่านข่าว

สื่อเช่นนี้มันชั่วจริง ๆ

ที่ชั่วพอ ๆ กัน และได้เงินได้ทองด้วย ก็พวกเก็บศพบ้าง พวกผู้รักษากฏหมายบ้าง พวกนิติเวชบ้าง พวกนี้เป็นคนที่สามารถเข้าถึงศพหรือผู้เสียหายก่อนใคร คนเลว ๆ บางคนเลยรับเงินสื่อ แลกกับการเอารูปศพ เล่าสภาพศพ ให้สื่อรับทราบ

อย่ากรณีคาร์ราดีน ก็โบ้ยกันเอง รูปที่ออกมานี่ทนายคาร์ราดีนอ้างตำรวจไทยว่าเจ้าหน้าที่นิติเวชเป็นคนเอามาขยาย ก็โบ้ยกันไป

ผมสะอิดสะเอียนกับการย่ำยีจิตใจคนของพวกไม่นึกถึงจิตใจคนเหล่านี้มานานแล้ว หากินกับศพอย่างไม่ละอาย จะอ้างว่าเพื่อการตามตัวคนร้ายหรืออะไรนั้นฟังไม่ขึ้น เพราะนั่นสืบสวนทางลับได้ การเอารูปเอาเรื่องผู้บริสุทธิ์มาลงนั้น ญาติพี่น้องเขาเจ็บปวด อับอาย สังคมรู้กันหมด ไม่ต้องมาอ้างว่า คาดตา หรือโมเสคภาพ ปิดชื่อจริง ถุย รายละเอียดอื่นประกอบยังกะไปนั่งยอง ๆ ดูเขาฆ่ากัน ข่มขืนกันในเหตุการณ์ ของพวกแกนั้นทำให้คนเขารู้หมดล่ะว่าใคร

ในเมืองนอก รูปนั้นจะมาจากการได้รับอนุญาตจากครอบครัวคนตายเท่านั้น และไม่มีหรอก ภาพอุจาดตา ยิ่งเรื่องข่มขืน เขาปิดชื่อ ที่อยู่ หมด มันเป็นหน้าที่ที่ตำรวจจะไปสืบสวนเอาผิดคนร้าย ไม่ใช่หน้าที่ของสื่อขายข่าวให้ชาวบ้านเอาไปนั่งเมาท์กัน

เชียร์ ครอบครัวคนตายเอาเรื่องให้วัฒนธรรมเลวร้ายเหล่านี้หมดไปจากสังคมไทยซะทีครับ

ส่วนหมอพรทิพย์นั้น ผมไม่อยากพูดถึงแกมาก คนที่ทั้งเหลืองไม่เอา แดงไม่เอา น้ำเงินไม่เอา นั้น ไม่รู้ว่าจะยืนอยู่ในสังคมได้อย่างไร

วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2552

งานหลักของกองทัพไม่ใช่การรับมือคนเสื้อแดง

สถานการณ์ความแตกแยกทางความคิดการเมืองวันนี้ที่รุนแรงเสียจนหลายคนหวาดผวาว่าถ้าหากปราศจากกองทัพแล้ว ใครก็คุมไม่อยู่นั้น เป็นความคิดที่ผิดพลาดและจะทำให้ประเทศต้องถอยกลับไปสู่ยุคที่ต้องพึ่งทหารเหมือนเมื่อ 30 ปีก่อน การมัวแต่ใช้ทรัพยากรของกองทัพไปในการสกัดกั้นการเติบโตของคนเสื้อแดงนั้นรังแต่จะกีดขวางการปฏิบัติหน้าที่หลักของทหารในทิศทางอื่นที่กำลังเจอวิกฤตของจริง และกองทัพนั้นก็กำลังสูญเสียความสนับสนุนของคนอีกครึ่งแผ่นดินในยามที่กองทัพกำลังต้องการแรงสนับสนุนนี้อย่างมากด้วย


จินตนาการของผู้มีอำนาจที่ยังผูกโยงความเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงเข้ากับอดีตนายกทักษิณ ชินวัตรบ้าง ลัทธิคอมมิวนิสต์ล้มทุน ล้มปืน ล้มเจ้าบ้าง ทำให้มองคนเสื้อแดงเป็นฝ่ายตรงข้าม เห็นแก่เงินค่าจ้าง ไร้ปัญญาหลอกจูงได้ง่าย ดังนั้นจึงใช้พลังอำนาจทุกทางเปลี่ยนใจคนเสื้อแดงให้ได้ โดยไม่สนใจว่าจะถูกโวยเรื่องสองมาตรฐานหรืออย่างอื่นอย่างใด กองทัพในฐานะม้าที่ต้องทำตามคำสั่งจ๊อกกี้ก็พลอยถูกดึงลงมาเล่นเกมนี้ด้วย แม้ว่าเคยพยายามถอยจนไม่รู้จะถอยยังไงแล้ว


ในเมื่อยุทธศาสตร์เป็นเช่นนี้ ยุทธการเลยล้อตาม ไม่เช่นนั้นคงไม่เห็นการนำอาวุธหนักออกมาไล่จับเสื้อแดงตอนตี 4 ซึ่งเป็นเวลาที่ฝ่ายตรงข้ามอ่อนแรงที่สุด ผลก็คือ ใครจะสู้คนมีปืนได้ คนเสื้อแดงสลายไป แต่ก็แค่ชั่วคราว พวกเขาเกลียดชังรัฐมากขึ้นและพลอยเกลียดชังกองทัพไปด้วย การส่งคนลงไปปฏิบัติการจิตวิทยานั้นไม่ได้ผล เพราะยุคนี้เป็นยุคที่แบ่งข้างความคิดกันชัดเจนไปแล้ว กระบวนทัศน์ (Paradigm) ของใครเป็นแบบไหนก็จะไม่มีวันเปลี่ยนไปได้ ข้อเท็จจริงล้วนสามารถตีความตามใจตนเองได้หมด


แต่ถ้าคิดว่าลักษณาการแบบนี้ของคนเสื้อแดงจะเป็นอันตรายต่อประเทศชาติเหมือนเช่นระบอบคอมมิวนิสต์ในอดีต ก็ควรจะเลิกกังวลได้ ประเทศเราผ่านยุคแบบนั้นมาแล้วและจะไม่มีวันกลับไปต่อสู้ด้วยปืนกันอีก ต่างจากชาติอื่นที่ไม่ผ่านกระบวนการนี้มาก่อน (กรณีภาคใต้ถือเป็นเรื่องยกเว้น เพราะมีเรื่องอุดมการณ์จากภายนอกประเทศเข้ามาเกี่ยวข้อง แม้ว่ายังมิได้มีผู้ก่อการร้ายจากภายนอกประเทศมาร่วมแจมก็ตาม) คนเสื้อแดงที่คับแค้นจะสู้ด้วยวิธีการที่เขาสู้ได้ และรัฐสามารถใช้เครื่องมือที่เบากว่าทหารในการจัดการ เช่น ปิดถนนก็ใช้ตำรวจ ไม่จ่ายภาษีก็ใช้สรรพากร ก่นด่าก็ใช้ศาล ต่อให้ถึงขั้นจลาจล ก็ไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่กองทัพจะต้องยกกำลังออกมาอีก


วันนี้งานหลักของกองทัพที่ต้องเผชิญภัยคุกคามรอบประเทศนั้นมีมากมายมหาศาลกว่าที่เคยเป็นมาในรอบยี่สิบปี จริงอยู่ที่เราคงไม่ต้องเผชิญสงครามใหญ่ที่จักกะแล่นจะเสียดินแดนเหมือนเมื่อยุคทำสงครามมืดกับเพื่อนบ้านอีกแล้ว แต่การที่ชายแดนวันนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความไม่เป็นมิตรและภัยคุกคามรูปแบบใหม่ (Non-Conventional Threat) ครอบคลุมสังคมไทย เรายังจะมีที่ทางให้ทหารไปเกี่ยวข้องรบรากับคนดี ๆ ในประเทศนี้กันอีกหรือ


พม่ากำลังจะผนึกประเทศด้วยระบบการเมืองใหม่ที่ถึงจะไม่เป็นประชาธิปไตย แต่ก็น่าจะทำให้พวกเขาใกล้กับคำว่าเอกภาพมากที่สุดนับตั้งแต่ร่างสนธิสัญญาปางโหลงกันขึ้นมา งานนี้พวกเขาจึงเร่งปราบปรามหนักขึ้นต่อกลุ่มต่อต้านที่อ่อนแรงลงทุกที ผลกระทบด้านการปะทะบริเวณพรมแดนจะบังเกิดแก่เราด้วย กองทัพจะต้องใช้ทั้งการทูตฝ่ายทหารและหน่วยกำลังทางยุทธวิธีเข้าแก้ไขปัญหานี้


ที่เป็นภัยคุกคามน่าวิตกคือด้านกัมพูชา เพราะเขมรทั้งชาติกำลังอยู่ในภาวะได้ใจ กลายเป็นพลังมหาศาลหนุนหลังให้พลพรรคฮุนเซ็น กร่างกร้าวอย่างน่ากลัว กัมพูชาไม่เพียงแค่ต้องการพื้นที่ทับซ้อนด้านเขาพระวิหารเท่านั้น พื้นที่ชายแดนรอบบ้านทั้งทางบกและทางน้ำ พวกเขาก็รุกจะเอาด้วย เพราะเชื่อมั่นว่าวันนี้เป็นวันของเขาแล้ว ยิ่งรัฐบาลอ่อนแอ กองทัพยิ่งต้องเข้มแข็ง ยิ่งปัญหารุนแรงยืดเยื้อ ยิ่งต้องระดมสรรพกำลังลงไปจัดการ


ปัญหาภาคใต้นับวันจะแย่ลงทุกที เพราะรัฐยังซื้อใจชาวบ้านไม่ได้ แม้ว่าการแก้ไขปัญหาจะเดินมาถูกทางคือใช้ทั้งลูกอ่อนลูกหนัก ใช้การพัฒนาขนานกันไป แต่ตราบใดที่ยังให้สิทธิบางอย่างอย่างเต็มที่ไม่ได้ ปัญหาก็ไม่มีวันจบ ประเด็นนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่กองทัพน่าจะจมอยู่กับมันไปอีกหลายปี


ปัญหาภัยคุกคามรูปแบบใหม่อีก ๆ ที่กลับมารุนแรงขึ้นตามสภาพของสถานการณ์ประเทศที่ย่ำแย่ เมื่อพลังอำนาจการเมืองแย่ พลังอำนาจทุกด้านก็จะแย่ไปด้วยรวมทั้งด้านสังคม ยาเสพติดเฟื่องฟู ผู้อพยพมากเป็นสายน้ำ การลักลอบค้าของเถื่อน คนเถื่อน อาวุธเถื่อนจะเพียบ เรื่องพวกนี้ต้องอาศัยทหารเข้าแก้ไขมากบ้างน้อยบ้าง แต่ต้องกินทรัพยากรกองทัพไปมิใช่น้อย


เมื่อเป็นเช่นนี้กองทัพยิ่งต้องการความร่วมมือจากประชาชนทุกคนในชาติ ไม่ใช่แค่จากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่สะใจต่อการได้เห็นทหารเล่นงานฝ่ายตรงข้ามกับตน กองทัพต้องการประชาชนเป็นเบาะแสข่าวกรอง เป็นหูเป็นตาแจ้งเตือน หนุนหลังการจัดหาอาวุธและปฏิบัติการต่าง ๆ ช่วยเหลือกองทัพอย่างเต็มใจ สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าคนครึ่งค่อนประเทศมองทหารวันนี้เหมือนกับปี 2535 กองทัพจึงควรกลับสู่ความสนใจในหน้าที่ของตน เรื่องของการเมืองก็แก้ด้วยคนการเมือง ประเทศคงไม่เลวร้ายจนสูญเสียเสื่อมทรามไปทุกสิ่งหรอกน่า เผลอ ๆ อาจจะสมานฉันท์จับมือกันได้จริง เพราะนักการเมืองเขาขึ้นชื่อว่าพลิกพลิ้วได้เก่งกว่าทหารอยู่แล้ว


กรุงเทพธุรกิจ 7 พฤษภาคม 2552