วันอังคารที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2552

จับโม้ประชาธิปด

รัฐบาลบริหารประเทศมาได้ระยะเวลานึงแล้ว เรื่องที่พูดไม่จริง บอกไม่หมดประชาชนนั้นมากนัก บางเรื่องดูเหมือนจะเล็ก แต่ก็ยังปด ยังโม้ ลองดูนิดนึงก็ได้

1.เรื่องขอให้จีนส่งทักษิณจากฮ่องกงกลับประเทศในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน

ในความเป็นจริง ขอยังงี้ไม่ได้ เพราะแม้ว่าฮ่องกงจะเป็นส่วนหนึ่งของจีน แต่ปกครองด้วยระบบต่างกัน จีนแทรกแซงไม่ได้จนกว่าจะถึงปี 2047

2.เรื่องถูกเชิญไปพูดที่อ๊อกฟอร์ด

ในความเป็นจริง มีบริษัทออแกไนเซอร์ติดต่อขอจัดงานในหอประชุมคณะที่อภิสิทธิ์เคยเรียน คณะก็ไม่ขัด งานนี้ไม่ได้มีการเชิญจากมหาวิทยาลัยแต่อย่างใด

3.เรื่องถูกเชิญไปงานระดับโลก G-20

ในความเป็นจริง ไทยเป็นประเทศประธานอาเซียนอยู่แล้ว ถึงได้สิทธิไปประชุมในฐานะตัวแทนของอาเซียน หากเป็นประเทศอื่น ผู้นำของประเทศนั้นจะเป็นคนไป งานนี้อกข่าวเอกเริกไม่มีคนรู้เรื่องนี้ จนกระทั่งข่าววิทยุประเทศไทยออกข่าวสารภาพเช้านี้เอง

เรื่องพวกนี้โม้หาเสียงเล่น ๆ ก็ยังพอว่า แต่เรื่องต่อไปนี้ ปดแล้วน่ากลัว

รัฐบาลบอกว่ามีแค่ 3 ทางเท่านั้นในการแก้เศรษฐกิจคือ กู้ ขึ้นภาษี หรือขายชาติ
รัฐบาลจะกู้อย่างเดียว ไม่ทำ 2 อย่างหลังเด็ดขาด

แต่ที่แน่ ๆ ภาษีหลายตัวกำลังขึ้น ไม่ใช่ภาษีบาปซะด้วย เพราะรัฐบาลไม่กล้าแตะ แต่ที่ประชาชนเริ่มกระทบก็คือ ภาษีน้ำมันกับค่า FT ของไฟฟ้า

เรื่องขายชาตินั้นเป็นวาทะด่าคนอื่นมานานแล้ว แต่เรื่องแปรรูปองค์การยาสูบที่พึ่งเกิดขึ้น ทำไมเงียบ

ที่น่าเป็นห่วงคือ หากอยากกู้มาก ๆ เข้า เจ้าหนี้เขาจะบีบคออะไรไทยหรือเปล่า แบบเดียวกับเข้า IMF ก็ต้องโดนบีบให้ออกกฏหมายขายชาติ 11 ฉบับ งวดนี้น่าเป็นห่วง ไม่รู้ว่าจำต้องไปตกลงยอมอะไรต่างชาติมั่ง เพราะยุคโน้น ศุภชัยแห่งกระทรวงพาณิชย์ไปทำสัญญาอะไรก็ไม่ค่อยบอกกล่าวกรมสนธิสัญญา กระทรวงการต่างประเทศเลยนี่

วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2552

แนวคิดที่แตกต่างระหว่างทักษิณกับเสื้อแดง

ฟังโฟนอินอดีตนายกทักษิณเมื่อวานแล้ว เห็นชัดเลยถึงความแตกต่างระหว่างทักษิณกับมวลชนเสื้อแดง

แม้ว่ามวลชนเสื้อแดงกว่า 50 เปอร์เซ็นต์รักใคร่เทิดทูนทักษิณ และกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ต้องการให้เขากลับมาแก้ปัญหาเศรษฐกิจ แต่ความแตกต่างของทั้งสองนั้นมีอยู่หลายข้อ จนอาจจะพูดได้ว่า ทักษิณไม่ได้เป็นหัวหน้าคนเสื้อแดง ทักษิณเป็นแค่แขนงหนึ่งของคนเสื้อแดง ที่มีอยู่หลายรูปแบบเท่านั้น

1. ทักษิณ แสดงความจงรักภักดีอย่างหาที่สุดมิได้ เรื่องนี้มิไยที่ฝ่ายตรงข้ามจะโจมตีอย่างไร แต่ในทางรูปธรรม ต้องยอมรับว่าทักษิณไม่ได้เสียเรื่องนี้ ทุกวันนี้เขายังกล่าววาจายกย่องสถาบันอยู่ตลอด แม้จะถูกผู้ใกล้ชิดสถาบันเล่นงานเอาถึงเพียงนี้ การจัดงาน 60 ปีครองราชย์ให้พระองค์นั้นเป็นเครื่องยืนยันเหนือเรื่องกล่าวหาบ้า ๆ บอ ๆ อย่างทำพระพุทธรูปหน้าตนเอง

แต่ฝ่ายเสื้อแดงบางส่วน ขอย้ำว่าบางส่วนเขากังขาผู้อยู่เบื้องหลังไปไกลกว่าพลเอกเปรมเสียแล้ว พวกนี้อาจฟังทักษิณทุกเรื่อง แต่พอถึงเรื่องแฉเท่านี้ เขากลับไม่เห็นด้วย ปรากฏการณ์ที่พวกเขาใช้คำว่า ตาสว่างบ้าง ซาบซึ้งบ้าง กระจายทั่วไป จนฝ่ายเสื้อแดงที่ยังจงรักภักดีเป็นห่วง แต่ไม่กล้าตักเตือนกันเพราะ "แสวงจุดร่วม สงวนจุดต่าง"

อาจแปลกใจ ถ้าผมจะวิเคราะห์ว่าทักษิณกับจักรภพนั้นความคิดคล้ายกันในเรื่องนี้ สังเกตว่าทั้งสองคนคล้ายยั้งมือไว้ไมตรี หวังจะให้ฝ่ายตรงข้ามเปลี่ยนแปลงตนเอง แต่อย่างไจล์หรือธงชัยนั้นไปไกลแล้ว ยิ่งพวกอดีตซ้ายเก่าในเสื้อแดงยิ่งไม่รับกันเอลย

2. ทักษิณยังเชื่อในความสมานฉันท์ เขาพูดถึงความปรองดอง กลับมาดีกันเถอะอยู่เสมอ ทั้งนี้น่าจะเป็นเพราะทักษิณห่วงสมบัติคืนจริง ๆ และจากพื้นฐานนักธุรกิจ เขารู้ว่าบรรยากาศแบบนี้ไม่ดีต่อทุกฝ่าย ไม่ดีต่อการลงทุน ไม่ดีต่อการใช้ชีวิต ไม่ดีต่อเขาและครอบครัว หากทุกอย่างสงบลง ถึงแม้เขาจะไม่ได้ใหญ่โตเหมือนในอดีต ขณะที่อำนาจเก่าแก่ยังครองประเทศอยู่ เขาก็ยังพอใจ เพราะเก็บทรัพย์สินและความสุขส่วนใหญ่ของตนไว้ได้

แต่เสื้อแดงบางส่วนไปไกลกว่านั้นแล้ว จริงอยู่ที่ประเด็นเฉพาะหน้านั้นเห็นตรงกันคือไล่รัฐบาลประชาธิปัตย์ ดำเนินคดีพันธมิตร แต่ระยะยาวต่อไปคือโค่นระบอบอมาตยาธิปไตยไปเลย บางรายคิดไปไกลถึงระบอบแบบสังคมนิยมหรืออะไรไปนู่น ให้พวกที่อยู่เบื้องหลังรัฐประหารถูกจับ ถูกขับไล่ไปนอกประเทศบ้าง งานนี้ต่อให้ทักษิณหยุด เสื้อแดงก็ไม่หยุด

มีทางเป็นไปได้ที่ทักษิณจะยอมเกี้ยเซี้ยกับฝ่ายตรงข้าม หากการต่อรองบรรลุผล แต่เสื้อแดงไม่ใช่สมุนทักษิณ ถึงหากในอนาคตทักษิณจะเฟดตัวออกไป แต่การต่อสู้ของเสื้อแดงน่าจะยังอยู่ ขาดหัวหอกไปก็กลายเป็นต่อสู้แบบอื่น สังคมจะยังแตกแยกอีกนาน เชื่อเถอะ

วันนี้ขอเขียนเท่านี้ก่อน อาจมีเพิ่มเติมครับ

วันพุธที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2552

ขอให้ผู้ที่รักในประชาธิปไตย รักในความยุติธรรม จงเป็นฝ่ายชนะ

พรุ่งนี้ ไม่มีใครคาดเดาว่าอะไรจะเกิดขึ้น

ฝ่ายข่าวกรองยืนยันตรงกันว่า เสื้อแดงสูงสุด 30000 คน ยืดเยื้อไม่เกิน 5 วัน ไม่ประกันความรุนแรง

ฝ่ายเศรษฐกิจยืนยันว่า ไทยพินาศแน่ ทุกอย่างติดลบหมด ไม่ว่าจะเป็น GDP ท่องเที่ยว หุ้น ลงทุน ส่งออก

ฝ่ายที่จ้องจะโกงก็เปิดหน้ากันออกมาแล้ว

มาตรฐานการให้ความยุติธรรม เราก็เห็นกันแล้ว (คำตัดสินกรณีกติกาฟินแลนด์ที่พึ่งออกมา คงเรียกเสื้อแดงได้อีกจมเลย)

สังคมก็แตกแยกกัน จนไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว ความอาฆาตแค้น หมายเล่นงานกันก็เป็นเครื่องหมายยืนยันว่าชาตินี้คงร่วมโลกกันไม่ได้

เอาเถอะครับ ไหน ๆ จะพังกันแล้ว ก็ให้พังทั้งหมดนี่เลย ใครไม่เล่นเกมนี้ก็เป็นกองเชียร์ก็แล้วกันนะครับ ใครฝืนใจใครไม่ได้ แล้วก็รับผิดชอบความฉิบหายร่วมกันก็แล้วกัน

เพราะทุกคนมีส่วนในผลลัพธ์ของชาติวันนี้ทั้งนั้น ไม่ว่าพวกคนเลว พวกคนที่อ้างว่าตัวเองดี (แต่เลว) พวกคนที่เลือกสี (ไม่ว่าสีที่ถูกหรือสีที่ผิด) พวกที่ไม่เลือกข้าง (นิ่งเฉย ก็เท่ากับปล่อยให้สถานการณ์เป็นไปโดยไม่แก้ไข) พวกที่พยายามแก้ไขสถานการณ์แต่ไม่สำเร็จ (ก็ต้องร่วมรับผิดชอบด้วย เพราะไม่มีความสามารถพอ)

ผมก็เป็นคนหนึ่ง ที่สมควรโดนประณาม อาจเลวกว่าหลายคนก็ได้ เพราะเขียนกั๊กไปกั๊กมาแบบกลัวอะไรอยู่ แต่ก็ไม่ชาติชั่วเท่าอีกหลายคน ที่ชีวิตนี้ผมเกิดมาก็นึกไม่ถึงว่ามันจะชั่วได้ใจอย่างนี้มาก่อน

ยังไงก็ตาม ภายใน 4 วันนี้ผมขอให้

1.สถานการณ์อึมครึมจบลงซะที ไม่อยากให้เกิดกรณีแบบ 3 จังหวัดชายแดนใต้หรือคอมมิวนิสต์อีก

2.ผู้บริสุทธิ์และผู้ทำหน้าที่ไม่มีใครเจ็บใครตาย แต่พวกตัวแสบ มาเฟียทำลายชาติจะต้องโดนจับ หรือขับออกนอกประเทศกันมั่งก็เป็นได้

3.ปรากฏการณ์เปลี่ยนแปลงไปในทางที่คนส่วนใหญ่ของประเทศต้องการ

และ ฝ่ายที่ถูกต้องเป็นผู้ชนะ

บอกตรง ๆ ว่า คำปรารถนาง่าย ๆ แบบนี้แหล่ะ เกิดขึ้นจริงยากชะมัด

วันเสาร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2552

ตามคาด ประชาธิปัตย์โยนบาปให้คนอื่น

ไม่อยากจะพูดว่า เอาดีเข้าตัว เอาชั่วเข้าคนอื่น แต่...

ดูสไตล์การตอบเอาแล้วกัน

1. อภิสิทธิ์ เรื่องหนีทหาร....

อ้างว่ายื่น สด. 9 ฉบับจริงเมื่อเวลาสมัคร
ข้อเท็จจริงคือ สด.9 ฉบับนั้นยังไม่มีใครพบ และอภิสิทธิ ขอใบแทนไปยื่นให้ จปร.ภายหลัง
ผลก็คือ เป็นการโยนให้ จปร.ต้องหา สด.9 มายื่นยัน ไม่เกี่ยวกับตู
บทพิสูจน์ความจริง ถามใจ จปร. ว่าตัวทำของเขาหายไหม ถึงได้ให้เขาไปเอาใบแทนมา แต่ถ้าไม่ได้ทำหาย ต้นขั้วที่สัสดีต้องมี

2.อภิสิทธิ์ เรื่องติดเข็มเหรียญตราผิด...

อ้างว่าเพื่อนทำเข็มของตัวเองขาหัก เเล้วเอาเข็มผิดระเบียบมาติดให้ตน
ข้อเท็จจริง คือ อภิสิทธิ์ไม่มีสิทธิ์ติดเข็มนั้น เพราะเกิดไม่ทัน เจ้าตัวยอมรับกลางสภา
ผลก็คือ เป็นการโยนให้ไอ้คนหวังดีแหละผิด ตูไม่รู้เรื่อง
บทพิสูจน์ความจริง ใครกันคือเพื่อนคนนั้น

3.อภิสิทธ์และกรณ์ เรื่อง SMS เจ้าปัญหา

อ้างว่าเป็นนวัตกรรมใหม่ หวังดีต่อชาติ ไม่เสียเงินรัฐและไม่ผิดกฏหมายเลือกตั้ง
ข้อเท็จจริง บริษัทมือถือไม่เก็บค่าบริการ 17 ล้านบาทและได้รับกำไรจากค่าตอบกลับจำนวนหนึ่ง
ผลก็คือ เป็นการโยนให้บริษัทมือถือ ถ้าพวกนั้นจะหาประโยชน์ ก็ไม่เกี่ยวกับตู
บทพิสูจน์ความจริง เช็คว่าบริษัทได้กำไรเท่าไหร่จากงานนี้ และดูข้อกฏหมายของฟรี 17 ล้านบาทผิดกฏหมายหรือไม่

4.กษิต เรื่องอ่อนให้ฮุนเซน

อ้างว่า ฮุนเซนยอมรับกับตนว่าเข้าใจผิดจากสื่อเขมร ตนเลยไม่ติดใจฮุนเซ็นอีก
ข้อเท็จจริง เมื่อก่อนกษิตด่าเขาว่ากุ๊ย ว่าเด็กเกเร วันนี้ชมว่าท่านเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ทุกคำ
ผลก็คือ เป็นการโยนให้ฮุนเซ็นไปแก้ข่าวเอาเองว่ายอมอ่อนข้อให้ไทยก่อนจริงหรือเปล่า ไม่ใช่ตู
บทพิสูจน์ความจริง อีกไม่นานนี้ลายฮุนเซ็นก็ออก รอดูไปเถิด

5.จุรินทร์ เรื่องอนุมัติการโกงของบุญจง

อ้างว่า แค่เร่งรัดเรื่องเบิกจ่ายเงินอาชีวะ ตามนโยบายรัฐเท่านั้น
ข้อเท็จจริง หลักฐานหนักแน่นทั้งหนังสือกำกับของบุญจง การทำงบ 3 ตะกร้า และชุดสินค้าของพ่อค้า
ผลก็คือ เป็นการโยนให้บุญจงแก้เอาเอง ตูทำแค่นโยบายรัฐ
บทพิสูจน์ความจริง เลขาบุญจงกับงบสอดไส้

เอาเเค่นี้ก็พอเห็นแล้วนะครับว่า รัฐบาลนี้คุณธรรมเลอเลิศ หากจะมีการผิด ก็ไม่เกี่ยวกับรัฐบาล ไปเล่นงานหมอนั่นเอาเอง

วันพุธที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2552

ชาติไทยนั้นเคยใหญ่ในบูรพา

ไม่ต้องอาศัยความคิดชาตินิยมก็สามารถรับรู้ข้อเท็จจริงในอดีตได้ว่า ชาติไทยสมัยที่ยังไม่เป็นรัฐชาติ หรือแม้แต่เป็นรัฐชาติแล้วจนถึงยุคเริ่มต้นสมาคมประชาชาติอาเซียนนั้นยิ่งใหญ่ไม่น้อยหน้าใครในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ในวันที่ความยิ่งใหญ่นี้ลดทอนลงไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นชาติที่ต้องกู้เงินมาพยุงตนเองให้สามารถแข่งขันกับบรรดาชาติที่เมื่อไม่นานมานี้ ความเจริญยังอยู่ห่างเราหลายสิบขวบปีแล้ว ยังมีทางหรือไม่ที่ชาติไทยจะกลับคืนสู่ความเกรียงไกรเหมือนเดิม หรือว่าในโลกยุคทศวรรษที่ 2 ของมิลเลนเนียมนี้ เราจะยิ่งกระเถิบไกลออกไปปลายนาหมู่บ้านโลก ออกไปเรื่อยๆ

มีสิครับ อย่าพึ่งหมดหวัง

อย่าพึ่งลืมว่าวันที่ไทยเป็นคู่แข่งกับญี่ปุ่นในการนำสิ่งใหม่ๆ เข้าสู่ประเทศ อาทิเช่น โทรเลข ไฟฟ้า ไปรษณีย์ หรือแม้แต่ทีวี และอื่นๆ นั้น ห่างจากวันนี้มิได้นานนัก ไทยเคยรบชนะฝรั่งเศสมาแล้ว ทั้งยังเคยประกาศสงครามกับอเมริกาและอังกฤษ โดยไม่แพ้เสียด้วย ความภูมิใจในเรื่องเหล่านี้ แม้จะเจื่อนๆ ไปบ้าง เมื่อเห็นวัยรุ่นสมัยนี้นิยมวัฒนธรรมของประเทศที่เคยขอให้ไทยช่วยปกปักอธิปไตยให้ แค่วันนี้เขาไปไกลกว่าเราโข เรากลายเป็นผู้ไล่ตามอดีตประเทศที่เคยตกเป็นอาณานิคมหลายประเทศชนิดที่ห่างออกไปเรื่อยๆ จะอ้างว่าเขาเก่งหรือเราอ่อนนั้นก็แล้วแต่จะมองมุมไหน กระนั้นก็ตาม ในเมื่อไทยเคยยิ่งใหญ่ในบูรพาทิศ เราก็น่าจะกลับไปสู่ความยิ่งใหญ่เช่นนั้นได้ แม้ว่าจะมีข้อจำกัดมากมาย

ประการแรก คือ คนในชาติต้องเชื่อมั่นก่อนว่าตัวเองทำได้ หลวงวิจิตรวาทการเคยจำแนกคนช่างฝันออกเป็น 2 พวก คือ พวกฝันบ้า อาทิเช่น อยากถูกหวยนั่นรวยนี่ โดยไม่ทำอะไรให้ตัวเองหรือใครๆ เข้าใจได้ว่านั่นคือวิถีที่จะไปสู่ฝันได้จริง (ไม่ได้หมายว่าทุ่มเทเล่นพนันหนักๆ จะเป็นการปูทางสู่ฝันแบบนี้นะ) กับพวกที่ฝันแล้วมีการวางแผน ดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป สมเหตุสมผล มุ่งมั่นโดยไม่ย่อท้อ ผ่านจุดพลิกผันของขั้นบันไดความฝันไปทีละขั้น คนไทยทุกคนควรมีความเชื่อมั่นเช่นนี้ โดยเฉพาะผู้มีอำนาจกำหนดชะตากรรมของประเทศ ถ้ามัวแต่ห่วงข้อจำกัดมากเกินไปกว่าการคิดเชิงบวกถึงโอกาส ก็น่าเสียดายยิ่ง

ต่อมาคือ การวางมหายุทธศาสตร์ระดับสากล ไม่ใช่จำกัดอยู่แค่วางแผนเอาตัวรอดระยะสั้น ในเมื่อเราเชื่อมั่นว่าเราสามารถเป็นผู้นำชาติเอเชียได้ ก็ไม่ต้องเกรงว่าหากฝันสลายแล้วเราจะหล่นลงถึงขนาดเป็นแค่ชาติเล็กก็เอาตัวรอดไม่ได้ ปัจจัยหลายประการที่คิดว่าเป็นปัญหานั้นไม่เป็นปัญหาอย่างที่เคยกลัว การที่จีนกับอินเดียมีความทะเยอทะยานจะเป็นมหาอำนาจของโลกนั้น ไม่ใช่ว่าเขามีคนฉลาดมากหรือศักยภาพของพลังการผลิตมาก เพราะถ้าเขาวางแผนไม่ดี ข้อได้เปรียบนี้ก็จะไม่เอื้อประโยชน์ แต่ถ้าเขาวางแผนดี ถึงปราศจากความได้เปรียบในประเด็นนี้ ก็สามารถเกื้อกูลกับความได้เปรียบในประเด็นอื่นอยู่ดี อาทิเช่น ไทยมีจุดเด่นด้านความยืดหยุ่น อดกลั้นและรักสันติ ลักษณาการเช่นนี้น่าจะเอื้อต่อการเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ย (mediator) ระหว่างประเทศได้

เมื่อไม่นานมานี้ ในช่วงที่เราดูเหมือนจะกลับสู่แทรคของการเป็นหนึ่งในผู้นำเอเชีย ไทยเคยรับบทเป็นเจ้าภาพการแก้ปัญหานาคาแลนด์กับอินเดีย และทมิฬกับศรีลังกาในไทย การให้สถานที่ประชุมนั้นเป็นการแสดงให้เห็นถึงความตระหนักในความเกี่ยวพันที่ประเทศมีต่อสันติภาพโลก โดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ทางตรง และเป็นสิ่งที่ทำให้สถานภาพของประเทศดูสูงขึ้น นอกจากนี้ การกระทำดังกล่าวจะเป็นการปูทางก้าวขึ้นไปสู่ขั้นต่อไป อาทิเช่น การเป็นผู้นำในการแก้ไขปัญหาต่างๆ อนึ่ง เราต้องไม่คิดในแง่ที่ว่า ประเทศเราก็มีปัญหาภายในยุ่งอยู่แล้ว เรากำลังจะไปแทรกแซงเรื่องของชาวบ้านล่ะดีหรือ เพราะการกระทำที่ถูกต้องเหมาะสมนั้นจำเป็นต้องขึ้นอยู่กับชั้นเชิงของรัฐบาลประกอบกับกาลเทศะ ทุกวันนี้ สิงคโปร์ และมาเลเซีย ก็กำลังดำเนินบทบาทเช่นนี้ในหลายกรณี

น้ำหนักของประเทศในการเป็นผู้นำชาติภูมิภาคนั้น ขึ้นอยู่กับการวางตัวของรัฐบาล ตลอดจนกลไก องคาพยพที่เกื้อหนุนรัฐนั้นต้องน่าเชื่อถือในสายตานานาชาติ วิสัยทัศน์ที่กว้างไกลแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจในสิ่งที่ไทยสามารถจะมอบให้แก่โลกได้ หรือการที่ไทยจะเป็นตัวกลางในการนำพาประเทศอื่นๆ แก้ไขวิกฤติร่วมได้ด้วยแนวทางใดแนวทางหนึ่งนั้น เป็นสิ่งที่ยกระดับภาพลักษณ์เราได้ ระบบการบริหารงานที่โปร่งใส ปลอดจากทุจริตคอร์รัปชันนั้นสามารถเกิดขึ้นได้จริง ถ้ายึดหลักประชาธิปไตยและความสามารถของบุคคลในการเข้าสู่ตำแหน่งสำคัญ โดยลดลงเสียบ้างในเรื่องของระบบอุปถัมภ์ การตรวจสอบแบบทวิมาตรฐาน การใส่ร้ายป้ายสีและเอาดีเข้าตัวเอาชั่วเข้าคนอื่น

นอกเหนือจากการแสดงความร่วมมือกับนานาชาติอย่างเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันอื่นๆ อาทิเช่น ส่งทหารเข้าร่วมรักษาสันติภาพนานาชาติ และการเป็นผู้นำในบางเรื่อง อาทิเช่น ด้านอาหาร หรือด้านกองทุนการเงินแล้ว ยังมีการพัฒนาตนเองด้านอื่นให้ดูเป็นอารยะ โดยเฉพาะด้านวัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม สิทธิมนุษยชน การป้องกันประเทศ และกฎหมาย

ทั้งหมดนี้ อาจต้องใช้เงินบ้าง แต่ไม่มากเท่ากับกึ๋นและความกล้าหาญในการมุ่งไปสู่การปฏิบัติได้จริง ต้องเตือนใจไว้ตลอดเวลาว่าประเทศไทยควรได้อยู่ในจุดที่เคยเป็นและควรเป็น ไม่ใช่ว่าความเรืองรองเหล่านั้นเป็นเพียงอดีตที่ไม่มีวันหวนกลับ หากเราไม่หวังสูงไว้ก่อน เราก็คงต้องแข่งกับความต่ำลงไปเรื่อยๆ แล้วมันจะดีกว่าหวังสูงตรงไหน

เอกสารตีพิมพ์ น.ส.พ.กรุงเทพธุรกิจ 12 กุมภาพันธ์ 2552

วันอาทิตย์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2552

กบฏทหารพรานที่ธากา

ที่ใดที่มีความไม่ยุติธรรม การเอาเปรียบกดขี่กัน ที่นั่นย่อมมีโอกาสที่จะเกิดความรุนแรง ไม่เว้นแม้แต่ในกองทัพที่ซึ่งระเบียบวินัยค้ำคออยู่ การลุกขึ้นมาก่อกบฏจับผู้บังคับบัญชาและทหารเหล่าอื่นฆ่าทิ้งเสียของอาสาสมัครทหารพรานกลางกรุงธากาเมื่อ 25-26 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา

เป็นตัวอย่างอันพึงสังวรของการปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียมกัน โดยเฉพาะให้ห้วงเวลาแห่งความยากลำบากทางเศรษฐกิจอย่างนี้

ทหารพราน ของบังกลาเทศนั้นสังกัดกระทรวงมหาดไทยก็จริง แต่ขึ้นควบคุมทางยุทธการ ตลอดจนการอำนวยการและการฝึกกับ กองทัพบก เรียกว่าทุกอย่างทุกประการเป็นลูกไล่เขาหมด หน้าที่ดั้งเดิมคือรักษาความสงบบริเวณชายแดนและหากเกิดสงครามก็ไปรบตายก่อน ในฐานะแนวหน้า

ปัจจุบันภารกิจยิ่งมากขึ้น เพราะบังกลาเทศก็เผชิญภัยคุกคามรูปแบบใหม่ จึงต้องใช้ อส.เหล่านี้กวาดจับผู้ก่อการร้ายบ้าง ปราบปรามผู้ก่อความไม่สงบบ้าง เช่นเดียวกับการสกัดกั้นยาเสพติด ภารกิจยิ่งหนัก แต่ค่าตอบแทนต่ำแค่เดือนละไม่กี่พันบาท สร้างความเครียดแก่พวกเขาซึ่งมีถึง 7 หมื่นคนใน 42 ค่ายทั่วประเทศ
ที่มันทนกันไม่ได้คือ การเปรียบเทียบกับทหารหลักที่มีโอกาส มีค่าตอบแทน เหนือกว่ากันทุกอย่าง ผู้บังคับบัญชาของพวกเขาสังกัด ทบ.ที่มีอนาคตรุ่งเรืองกว่า ยิ่งทหารหลักบังกลาเทศดำเนินช่องทางอย่างเป็นล่ำเป็นสันกับการไปร่วมรักษาสันติภาพต่างแดนแทบทุกมิชชั่นที่ยูเอ็นมี รายได้ของคนถือปืนสองกลุ่มนี้จึงต่างกันคนละโลก เมื่อบวกกับการเหยียดหยันและภาวะข้าวยากหมากแพง การลุกฮือขึ้นจับปืนไล่ยิงผู้บังคับบัญชาโดยไม่กลัวขึ้นศาลทหารจึงเกิดขึ้น

กรณีนี้ไม่ใช่การบันดาลโทสะ แต่เป็นการสั่งสมความแค้นและวางแผนมายาวนาน การเรียกร้องที่รัฐบาลไม่รับฟังทำให้ อส.กว่า 2,000 คน ยึด บก.ของตัวเอง ฆ่าพวกที่ไม่เห็นด้วยและเตรียมรบกับฝ่ายรัฐบาลเต็มที่ งานนี้นับว่า นายกรัฐมนตรีหญิงเหล็ก ฮาสินา วาจิด แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี รู้ว่าหากรบกันก็คงแหลกไม่เพียงแค่ทั้งทหารหลักทหารรองในเมืองหลวง แต่ความวุ่นวายและพยาบาทกรรมคงกระจายต่อไปหลายเมือง เลยยอมนิรโทษกรรมให้กบฏเพื่อแลกกับการวางอาวุธ แล้วค่อยไปว่ากันต่อไปเรื่องพิจารณาข้อเรียกร้องของเหล่าทหารพราน

ชะตากรรมบังกลาเทศคล้ายกับบางประเทศที่เราคุ้นเคย ทั้งที่จนกันจะแย่ ปัญหาสังคมมีเพียบ แต่ประชาชนก็แตกแยกทางการเมืองอย่างหนัก ทหารและชนชั้นนำพยายามแทรกแซงการเมือง แต่ก็ไม่อาจสร้างความสงบอย่างแท้จริงได้ ก็ได้แต่หวังว่าบังกลาเทศจะโชคดี

เอกสารตีพิมพ์ น.ส.พ.คมชัดลึก 1 มีนาคม 2552

วันอังคารที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2552

ข้อคิดเรื่องชายแดนใต้ของซิดนีย์ โจนส์

วันก่อนได้ไปฟังบรรยายของมิสซิดนีย์ โจนส์ ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการก่อการร้ายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะกลุ่มเจไอ ที่กระทรวงการต่างประเทศมา น่าสนใจมาก เพราะนอกจากจะได้อัพเดทสถานการณ์และแง่คิดเรื่องการก่อการร้ายแล้ว ยังจะได้ทราบสิ่งที่ฝรั่งระดับผู้เชี่ยวชาญมองเข้ามายังสถานการณ์ชายแดนภาคใต้ของไทยอีกด้วย

มิสโจนส์ ก็เหมือนนักวิชาการต่างชาติคนอื่นที่มักออกตัวไว้ก่อนว่าไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเรื่องจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยโดยเฉพาะ ดังนั้นจึงไม่กล้าที่จะอธิบายมากนักว่าเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะอะไรกันแน่ แต่เธอก็ได้ยกเอาข้อเท็จจริงที่เธอมี ต่อจิ๊กซอว์ออกมา พร้อมทั้งเสนอทางออกทั่วไปได้เป็นอย่างดี

โดยทั่วไปแล้วสถานการณ์ก่อการร้ายในภูมิภาคลดลง เพราะผู้ก่อการร้ายกำลังอยู่ในภาวะรวบรวมกำลังใหม่ หลังจากสูญเสียไปเยอะและที่สำคัญคือ ขาดแรงจูงใจในการปฏิบัติการ แต่มิสโจนส์ชี้ว่าสถานการณ์อาจพลิกผันได้ ถ้าพวกเหล่าร้ายมีผู้นำเจ๋ง ๆ มีการช่วยเหลือจากตัวเลวโพ้นทะเล และมีการรณรงค์รัฐปัตตานีขึ้นมา

ภาพสถานการณ์หลังที่เกี่ยวกับไทยนี้ เธอยังไม่มีข้อมูลมากนัก แต่ก็น่าเป็นห่วงที่ผู้ก่อการร้ายระดับล่างบางคนที่ถูกจับได้ซัดทอดว่ามีความพยายามต่อท่อระหว่างผู้ก่อการร้ายภูมิภาคกับพวกระดับโลกให้สนใจปัญหาในไทยมากขึ้น แต่ดูเหมือนว่าพวกระดับอัลเคด้านั้นยังไม่ใส่ใจซักเท่าไหร่ การณรงค์ทางเว็บที่เมื่อต้นปีก่อนค่อนข้างแรง ก็มอด ๆ ไป

อย่างไรก็ตาม การยังคงมีอยู่ของศูนย์ส่งกำลังบำรุงอาเจ๊ะที่สตูลและพวกมาเฟียลักลอบอาวุธ ตลอดจนการเผยแพรอุดมการณ์ในสถานศึกษาหลายแห่งในเอเชียใต้และตะวันออกกลางที่นักเรียนไทยไปเรียน ล้วนแต่ทำให้ฝ่ายความมั่นคงของไทยวางใจไม่ได้

นอกเหนือจากการสร้างความโปร่งใส คนของหลวงต้องไม่ทุจริตหรือทารุณคนพื้นที่แล้ว มิสโจนส์ เสนอให้จัดทำโครงการล้างสมองพวกผู้ก่อการร้ายที่พอจะแก้ไขได้ โดยมุ่งเน้นที่ในคุกเป็นสำคัญ โครงการนี้ได้ผลมาแล้วในอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์

นอกจากนี้ ถึงจะมีโครงการบุ๋นมากมาย แต่ก็อย่าลืมการใช้กำลังทหารเข้ากดดันผู้ก่อการร้ายด้วย เธอชี้ว่าอาเจ๊ะที่กลับมาสงบได้ในทุกวันนี้นั้นไม่ใช่เพราะฝ่ายแบ่งแยกดินแดนโดนสึนามิถล่มร่วงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะกองทัพอิเหนาอัดซะจนน่วมด้วย ตราบใดที่ผู้ก่อการร้ายตระหนักว่าสู้ต่อไปก็ไม่มีวันชนะแล้ว มันก็จะหันมาแสวงหาการเจรจาเอง ขณะเดียวกันรัฐบาลของเราก็ต้องรู้ให้ได้ด้วยว่าควรจะเจรจากับใคร

เอกสารตีพิมพ์ น.ส.พ.คมชัดลึก 22 ก.พ. 52

วันอังคารที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2552

หายไปเสียนาน

ขอโทษนะครับทุกท่าน ที่หายเงียบไปเลย 2 เดือนเศษ ทั้ง ๆ ที่สัญญาเอาไว้เเล้ว

ใน 2 เดือนที่ผ่านมา ยังคงมีผู้เข้าเยี่ยมบล็อกผมที่โอเคเนชั่น ถึง 5000 คลิ๊ก แสดงว่า เพื่อน ๆ พี น้อง จนนวนมากยังไม่ลืมผม แต่ผมก็เข้าใจดีว่า หากยังนิ่งเงียบไปเรื่อย ๆ เเฟน ๆ ก็จะหายไปจนหมดในที่สุด

ใน 2 เดือน ที่ผ่านมา ที่เบื่อต่อการเขียนบล็อก ผมทำงานได้มากขึ้น เลี้ยงลูกบ่อยครั้งขึ้น ( น้องกาญจน์เลี้ยงเป็นหลัก 4 เดือนเเล้วก๊าบ ) ขณะเดียวกันก็มีเวลาไปสัมมนาที่สิงคโปร์ และบวชที่วัดช่องลม สมุทรสาคร ด้วย ชีวิตดูเหมือนจะมีความสุขดี แต่ก็ชักรู้สึกขาดไปบางอย่าง

ที่ Blogspot นี้เป็นบล็อกที่ดีก็จริง แต่เหมาะสำหรับเอาไว้แสดงผลงานเท่านั้น หากต้องการ"สังคม"คงต้องไปที่อื่น ขอบอกไว้ก่อนเลยว่า ผมจะไปทำ Bloggang ในเร็ว ๆ นี้ รอให้หายขี้เกียจ ถ่ายรูปบัตรประชาชนไปสมัครเขาเท่านั้น

ดังนั้น ใน Blogspot ผมจะเอาไว้ลงบทความของผม ทั้งที่เคยตีพิมพ์ และเป็นเรื่องเฉพาะ คงเป็นแนวการเมือง การต่างประเทศ การทหาร วิชาการน่าสนใจ อ่านง่าย ๆ แต่สามารถเอาไปคิดต่อได้ลึกซึ้ง โดยไม่ดูถูกคนอ่านหรือเพ้อเจ้อ คลั่งแค้น

ส่วนใน Bloggang ก็จะเป็นเหมือนกับที่ผมเคยเขียนในโอเคเนชั่นน่ะครับ ใครชอบ "ความรู้คู่ความฮา" ผมขอเชิญด้วยไมตรีครับ


ช่วงเดือนมกราคมที่หยุดเขียนบล็อกให้โอเคเนชั่น มีทั้งเมล์ทั้งโทรศัพท์มาสอบถามมากมาย มีมาสัมภาษณ์ด้วยนะ ว่าทำไมจึงหยุดเขียนที่นั่นเสียล่ะ ผมก็ตอบไปแล้วแก่ผู้สอบถามเป็นการส่วนตัว แต่คงไม่เหมาะที่จะนำมาเล่าในบล็อกนี้ บอกได้แค่ว่า ผมไม่ได้ทะเลาะกับใครในโอเคเนชั่นเลย ความจริงคือไม่ได้คุยกับเว็บมาสเตอร์ด้วยซ้ำ โอเคเนชั่นไม่เคยทำไม่ดีต่อผม ผมก็ไม่เคยทะเลาะกับโอเคเนชั่นหรือแม้แต่จะพยายามทะเลาะกับใคร ( ผมเป็นคนเปิดเผย อยู่ในที่แจ้ง จึงระวังชื่อเสียงและมารยาทของตนเองอยู่แล้ว )คนที่เหน็บแนมผมนั้นก็มีน้อยมากและอยู่ในภาวะที่คุมได้ ขณะที่เพื่อนมีมากมหาศาล แต่ผมว่าบรรยากาศในบล็อกนั้นไม่เหมาะกับผม เมื่อผมเบื่อเข้า ผมก็เลิก เดินออกมาเฉย ๆ โดยร่ำลาเพื่อน ๆ หลายคน และอดรู้สึกเสียใจไม่ได้ว่าเราทำผิดต่อเพื่อน ๆ ที่จากเดิน แต่ผมก็ต้องไป

ตอนนี้ ผมรับปากเขียนเรื่องให้กับเพื่อนบางราย แต่ยังไม่ได้เริ่ม หากเข้าที่เมื่อไรคงได้การ

หากใครคิดถึง กรุณาส่งเมล์มาหาผมที่ ruarob@hotmail.com นะครับ สัญญาว่าจะตอบทุกฉบับ แม้ว่าจะช้าหน่อย เพราะมีหลายฉบับครับ

ขอบคุณนะครับ