วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2552

อาเซียนส่งสัญญาณประท้วงเงียบไทย

การที่จัดการประชุมระดับนานาชาติแล้ว ผู้เข้าร่วมประชุมระดับตัวแทนประเทศ ไม่ยอมมาร่วมพิธีเปิดนั้น เป็นเรื่องผิดปกติ และรับรู้ในแวดวงการทูตดีว่านั่นเจ้าภาพเจอประท้วงเข้าแล้ว

ไม่เคยเลยครับ ที่งานใหญ่ระดับอาเซียน อียู หรือเอเปค จะไม่มีผู้นำประเทศจู่ ๆ ก็ไม่มาร่วมพิธีเปิดอย่างกะทันหัน เว้นแต่จะประท้วง เช่น อเมริกากับฝรั่งเศสไม่ไปร่วมพิธีเปิดโอลิมปิคที่จีนเพราะไม่พอใจกรณีจีนปราบซินเจียงปีก่อน

ดูเหตุผลที่ทั้ง อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ อ้างนั้นเเก้เก้อและไม่น่าเป็นไปได้ ไม่ว่าจะเป็นการจัดตั้งรัฐบาลบ้าง ดูแลงบประมาณบ้าง รับมือภัยไต้ฝุ่นที่ยังมาไม่ถึงบ้าง ยิ่งกัมพูชาเบี้ยวดื้อ ๆ ไม่บอกเหตุผล โธ่ งานอาเซียนเขาเตรียมกันมานานแล้ว ไม่ใช่พึ่งรู้ ถ้าติดธุระสำคัญจริง ๆ ตัวเองต้องรู้ก่อนและประสานไทยให้เลื่อนกำหนดเวลาให้ดี ถ้าไทยเลื่อนให้ไม่ได้ ก็ส่งรองผู้นำมา

แต่นี่คงธุระไม่สำคัญ เพราะอีกวันนึงก็มากันพร้อมเพรียง นั่นหมายถึงการไม่ยอมมาจับมือพิธีเปิดนั้นเป็นเพียงการแสดงสัญลักษณ์ ยังไม่ถึงกับขัดแย้งขนาดเลิกคบ เป็นเเค่เตือนไทยให้อยู่กับร่องรอยวิถีอาเซียน

ไม่อยากบอกว่าไทยไปทำอะไรให้ประเทศเหล่านี้ไม่พอใจหรือเปล่า แต่เรื่องการผลักดันอาเซียนชาร์เตอร์นั้นมีความไม่ลงรอยกับอินโดนีเซียบ้าง ไม่รู้ว่ามาเลเซียถูกกดดันจากปัญหาชายแดนใต้ของไทยโดยเฉพาะการยิง 10 ศพมัสยิดหรือเปล่า ประธานาธิบดีของฟิลิปปินส์ก็เป็นเพื่อนทักษิณ กัมพูชายิ่งไม่ต้องพูดถึง

กระทรวงการต่างประเทศรู้เรื่องบอยคอตต์นี้ไหม รู้สิ ทำไมจะไม่รู้ แต่ก็ทำใจดีสู้เสือ คิดว่าเดี๋ยวต้อนรับดี ๆ ก็จบ ไม่ใช่แค่นั้นหรอกครับ ตราบใดที่ไม่แก้เรื่องรากของปัญหา ความแตกแยกจะเพิ่มขึ้น

สมัยก่อน สิงคโปร์จะถูกมองว่าเป็นตัวแทนของสหรัฐ ฯ ในภูมิภาค อินโด-มาเลย์-ฟิลิปปินส์ หวาดระแวงและเป็นตัวแทนปกป้องวิถีอาเซียน ส่วนไทยเป็นกลาง ๆ แต่สมัยนี้ เฮอะ ๆ ไทยกำลังแทนที่สิงคโปร์แล้ว และมีหรือที่สามประเทศนั้นจะไม่กระตุกเตือนไทย

วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เรียกร้องได้ แต่อย่าให้ประชาชนเดือดร้อน

ความขัดแย้งระหว่างสหภาพการรถไฟและรัฐ กำลังกลายเป็นการต่อสู้ที่สลับซับซ้อนและมีแนวโน้มว่าการแก้ไขปัญหาจะไม่จบลงง่าย ๆ เรามิพักต้องมากล่าวถึงความชอบธรรมที่ต่างฝ่ายต่างอ้าง เพราะถึงวันนี้ ประเด็นเรื่องความชอบธรรมนั้นพ้นวิสัยตีความไปแล้ว ใครเชียร์ฝ่ายใดก็จะเข้าข้างฝ่ายนั้นทุกเรื่องด้วยเหตุผลนานา และเห็นแย้งกับกับฝ่ายตรงข้ามทุกเรื่องด้วยเหตุผลนานา แต่ประเด็นมนุษยธรรมยังคงต้องเชิดชู


จริงอยู่ที่ ทุกความขัดแย้ง คู่กรณีควรระดมสรรพกำลังเต็มที่ ห้ำหั่นกัน ใช่เล่ห์เพทุบายสารพัด ไม่ต้องอายฟ้าดินอย่างไรก็ได้ เพื่อให้ชนะ แต่ก็ต้องยึดหลักมนุษยธรรมด้วย ไม่ใช่ให้ความต้องการมีชัยของตนเหนือทุกสิ่ง แม้แต่ความเดือดร้อนของผู้บริสุทธ์หรือความเวทนาต่อเพื่อนศัตรู


การศึกเวลานี้ก็เป็นเช่นนั้น การอ้างโน่น โจมตีนี่ ทำให้ทุกภาคส่วนเปียกปอน บาดเจ็บทางสังคมและเศรษฐกิจกันไปหมดแล้ว แต่นั่นยังเป็นผลกระทบโดยอ้อม ที่หากเข้าใจวิถีการต่อสู้แบบเต็มศึกของแต่ละฝ่าย ก็ยังพอกล้ำกลืนยอมทนได้ แต่ที่ไร้มนุษยธรรมโดยสิ้นเชิง คือการเอาความเดือดร้อนของผู้บริสุทธิ์มาเป็นเครื่องต่อรอง


ประชาชนไม่สมควรต้องมาเดือดร้อนกับการหยุดเดินรถ หรือที่อาจจะเกิดขึ้นต่อไป หากเรื่องบานปลาย ซึ่งก็พวกสหภาพเคยทำมาก่อนแล้ว เช่น การถูกตัดน้ำตัดไฟ และการปิดสนามบิน เพราะพวกเขาไม่เกี่ยวอะไรด้วย อย่ามาอ้างว่าให้เสียสละ หรือทนเอาหน่อย เพราะไม่ว่าฝ่ายใดก็ไม่มีสิทธิบังคับเขา ไม่ใช่ว่ามีอำนาจในมือแล้วจะทำอะไรกับใครก็ได้ หากดื้อดึงทำไป ในอนาคตเมื่อประเด็นอย่าง เช่น มีความพยายามแปรรูปรัฐวิสาหกิจปรากฏขึ้นอีก ประชาชนอาจแก้แค้นเอาก็ได้

วันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ไม่เชื่อมั่นประเทศไทย

ดูจากสถานการณ์เหล่านี้แล้ว ใครที่คิดว่ารัฐบาลประชาธิปัตย์จะอยู่ยาวอีก 2 ปี เศรษฐกิจไทยจะดีขึ้นทั่วหน้า ไม่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ก็เถียงได้เลย

- ข่าวการโกงกินอย่างมโหฬารรูปแบบเดิม คือ โกงเงินแผ่นดินเข้ากะเป๋าตัวเองกลับมาอีกครั้ง อย่างหน้าด้าน การโกงชาติแบบนี้ พวกต่อมจริยธรรมสูงใบ้กันเป็นแถบ ๆ เพราะตัวเองแอบเชียร์อยู่ แต่ถ้าคิดว่าการโกงเข้มแข็งแบบนี้จะทำให้ประเทศเจริญขึ้น ประชาชนอยู่ดีมีสุขขึ้น ก็เพ่อเจ้อชัด ๆ เพราะจะมีแต่พวกกันเองเท่านั้นที่รวย ไม่ขยายโอกาสให้คนอื่นได้จริง ในที่สุดก็จะต้องมีคนมาหยุดการโกงชาติเช่นนี้

- พวกโกงย่อมไม่มีสัจจะ บางอย่างแบ่งกันได้ก็แบ่ง แต่ถ้าสมบัติมันชิ้นเดียวกัน หรือขวางทางกันก็ต้องยุ่ง ดูจากตอนนี้ที่แย่งกันโกงทั่วทุกตำบล ก็พอมองอกว่าเดี๋ยวพวกนี้ได้กัดกันหนักกว่านี้แน่ ที่รอก็คือ ผู้คุ้มกฏที่กำลังทะยอยแต่งตั้งมาคุ้มครองการโกงของฝ่ายตัว การทะเลาะเบาะแว้งเรื่องนี้จะบานปลาย การไม่บังคับใช้กฏหมายกับพวกตัวเองที่โกงก็จะทำให้วุ่นไปทั่วทุกอำเภอ

- กลุ่มเสื้อแดงแรงไม่ตก ที่เห็นประท้วงได้ทุกเดือน คนที่อ้างว่าซื้อมาหรือโดนจูงมานั้นต้องกลับไปเช็คต่อมอคติ จริง ๆ แล้วที่เห็นนั้นยังเป็นแค่ส่วนเดียว คนเสื้อแดงกระจายไปทั่วประเทศแล้วและกำลังจัดระบบอย่างเข้มแข็ง สิ่งที่พวกเขาเคยขาด เช่น ความเป็นวิชาการ ความหลากหลายของการนำเสนอ หรือตัวดี ๆ เข้าร่วมนั้นกำลังได้รับการปรับปรุง ผ่านทางพรรคเพื่อไทยภายใต้พลเอกชวลิต ส่วนฝั่งตรงข้ามทำอะไร พวกนั้นดันเพิ่มจำนวน เพิ่มความเกลียดชังในหัวใจให้คนเสื้อแดงเพิ่มขึ้นทุกวัน ไล่ตั้งแต่ตัวเล็กอย่างเทพไท มายังตัวใหญ่ที่พึ่งออกมาแถลงข่าววันก่อน แล้วยังงี้จะไม่ให้คิดว่าความขัดแย้งระหว่างฝ่ายเสื้อแดงกับฝ่ายตรงข้ามจะซาลง เลิกกันไปในที่สุดล่ะหรือ

- พรรคประชาธิปัตย์กำลังเสียแนวร่วมเสื้อเหลือง ลำพังพรรคพันธมิตรนั้นไม่เท่าไหร่ แต่พวกรัฐวิสาหกิจที่เริ่มดูออกว่ารัฐบาลกำลังจะเข้าสู่แนวทางแปรรูป เอื้อประโยชน์ให้เอกชน แบบเดียวกับที่เซ็ทไว้ก่อนแล้สสมัยอดีตนายกชวน นั่นสิ จะทำให้เกิดเรื่องวุ่น ไม่จบไม่สิ้นกับสหภาพและเอ็นจีโอ ประชาชนเดือดร้อนรำคาญเพราะรถหยุดวิ่ง และอื่น ๆ เเล้วเรื่องนี้จะไม่เป็นระเบิดเวลาต่อไป และทำลายโอกาสของการพลิกฟื้นหรือ

- ในเมื่อต่างฝ่ายต่างไม่สามัคคี มีอัตตาและอำนาจคร่อมเลนกัน ด้วยผลแห่งรัฐธรรมนูญนี้ การตัดสินของฝ่ายตุลาการย่อมก่อให้เกืดผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน เหนือกว่าคำสัญญาเก้ ๆ กัง ๆ ของฝ่ายรัฐ กรณีอย่างมาบตาพุดบ้าง การพยายามยกเลิกอนุญาโตตุลาการรถไฟฟ้าบ้าง ย่อมเกิดเเรงกะเพื่อมออกต่างประเทศมหาศาล คิดว่าต่างชาติจะโง่หรือ

- ยุคนี้เป็นยุคที่เพื่อนบ้านเป็นศัตรูหมด ทั้งที่เราเป็นประธานอาเซียนแท้ ๆ ต้องโดนเขมรคุกคามด้วยวาจาบ่อยครั้ง ตรึงกำลังทหารกันอย่างน่ากลัว ทางพม่าก็โกรธ ไม่ให้ผู้ใหญ่ไปเยือนมาหลายเดือนแล้ว และไม่รู้ว่ามาเลเซียหรี่ตาแบบไหน โจรใต้เหิมแรงขึ้น สภาพการณ์เช่นนี้ ในโลกที่ความร่วมมือนานาชาติสำคัญมาก ไทยจะไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลยหรือ

- ปัญหา 3-4 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้นเป็นแค่ภาพลวงตาที่ไม่มีจริงหรือไง

-ข่าวลือสะพัด แล้วคนที่มีอำนาจดันเชื่อซะด้วย เช่น หุ้นตกระเนระนาด หรือเลื่อนแต่งตั้งหัวหน้าตำรวจจนบัดนี้ ไม่มีใครบริหารประเทศเจริญรุ่งเรืองได้ ภายใต้สังคมที่งมงายกับโหร กับเรื่องที่ไม่รู้ว่าจริงว่าเท็จ แต่มีค่าเท่ากับเรื่องจริง

เอาแค่ทั้งหมดนี่ก็อึ้งแล้วครับ ทางออกคือ เตรียมตัวรับแรงกะแทกให้ดีก็แล้วกันครับ

วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2552

การชุมนุม 17 ตุลา

การนัดชุมนุมขับไล่ครั้งใหญ่ของเสื้อแดงกลุ่ม”เอาเจ้า”ที่นำโดยวีระ มุสิกพงษ์ ในวันที่ 17 ต.ค. เป็นยุทธการที่ซ้ำซาก ล้าสมัย และไม่จำเป็น ในการปฏิบัติ ชัยชนะที่ต้องการนั้นยากที่จะมาด้วยวิธีการนี้ การปรับแผนใหม่และการรอจังหวะ น่าจะเป็นหนทางที่เหมาะสมกว่า

หลังจากการชุมนุมเสื้อแดงถึงจุดพีกสุดเมื่อ 8 เม.ย. แล้วไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้น การชุมนุมกลางถนนก็อยู่ในช่วงขาลง ในวันถัดมามวลชนกว่าครึ่งไม่กลับมา เพราะตระหนักว่ารัฐบาลไม่ลาออกด้วยวิธีการนี้แน่ ๆ ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมาไม่ได้รับการหนุนสู้ โดยนายวีระให้เหตุผลว่าไม่ต้องการให้เกิดการบาดเจ็บล้มตาย หากแต่นั่นคือการแพ้บลั๊ฟทางทหาร และมวลชนกลางถนนก็ไม่เพียงแค่หายไป แต่แตกแยกสายทางความคิดอย่างเป็นรูปธรรม

ในความเป็นจริงเสื้อแดงไม่ได้แพ้ ทั้งน่าจะเพิ่มจำนวนขึ้นตามการรับรู้สภาพการณ์บ้านเมืองที่รัฐบาลบริหารอยู่นี้ และยังมีการจัดระบบกระจายไปทั่วทุกแห่งมากขึ้น แต่ก็ยืนอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงมาขึ้นเช่นกัน ก็จริงที่พวกเขาต้องการล้มรัฐบาล ขับไล่อำมาตย์ แต่ก็รู้ด้วยว่าความสำเร็จนั้นไม่ได้มาจากการแสดงพลังแล้วแสดงพลังอีกแบบสองสามวันกลับ สถานการณ์เป็นเช่นเดิม แต่เงินในกะเป๋าพวกเขาร่อยหรอไปกับค่ารถ ค่ากินอยู่ เสียเวลาและงานการอาชีพ ครั้นจะให้แตกหักเห็นผลทันที คนที่มีสติก็จะยั้งคิดไม่พาตัวเข้าไปเสี่ยง ในเมื่อยังไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนั้น

การชุมนุมของนายวีระ มีผลทางจิตวิทยาต่อต่างประเทศในการแสดงให้เห็นอย่างต่อเนื่องว่ามีประชาชนจำนวนมากที่ไม่ยอมรับรัฐบาลชุดนี้ นั่นเป็นปัจจัยที่กระทบต่อรัฐบาลก็จริง แต่ไม่ใช่ปัจจัยหลักที่กำหนดว่ารัฐบาลจะอยู่หรือไป ไม่ต่างจากการที่ฝ่ายพันธมิตรยกทัพยึดจุดศูนย์ดุลของกรุงเทพเมื่อปีกลาย ทำขนาดนั้นยังไม่ชนะ สถานการณ์ที่พลิกผันได้นั้นขึ้นอยู่กับตัวเล่นไม่กี่คน และในตอนนี้ตัวเล่นเหล่านั้นกำลังมองเลยข้ามช็อทเสื้อแดงชุมนุมไปแล้ว

การเมืองที่กลายเป็นสามก๊ก ทำให้เสื้อแดงไม่จำเป็นต้องชนกับเสื้อเหลืองนอกสภา เพราะรัฐบาลก็มีศึกหนักกับฝ่ายอื่นอยู่แล้ว หากตกลงผลประโยชน์ไม่ลงตัว สร้างสภาพเศรษฐกิจสังคมให้ดีขึ้นไม่ได้ หรือมีเรื่องอื้อฉาวมากขึ้นจนกลุ่มที่หนุนหลังรับไม่ไหว การเลือกตั้งก็ต้องเกิดขึ้น เร็วหรือช้าเท่านั้น เวลานี้เสื้อแดงส่วนใหญ่กำลังเตรียมความพร้อมรับการเลือกตั้งอย่างมีระบบ มีองค์ความรู้ และด้วยสันติ จึงน่าจะเป็นการเหมาะที่พื้นถนนน่าจะตกเป็นของกลุ่มผู้เดือดร้อนทางการเกษตรเข้ามาเรียกร้องสิ่งที่เป็นเรื่องเร่งด่วนของพวกเขาเสียมากกว่า

(บทความนี้ดัดแปลงเปลี่ยนแค่วันเวลาจาก "การชุมนุม 30 สิงหา ตีพิมพ์ในคมชัดลึก ก่อนวันชุมนุมที่ยกเลิกไปคราวนั้น)

วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2552

หรือต้องรอรุ่นต่อไปจึงสมานฉันท์

อ่อนใจครับกับสถานการณ์ความแตกแยกของบ้านเมืองนี้ เพราะมันถึงจุดที่คนหลายกลุ่มที่เป็นปฏิปักษ์กันยอมให้กันไม่ได้เลย พวกเขายอมจมน้ำตายร่วมกับศัตรูไปพร้อมกับโศกนาฏกรรมทางเศรษฐกิจที่กำลังร่ายระบำครอบกบาลอยู่นี้เสียดีกว่าจะปล่อยให้ได้ชื่อว่ายอมศิโรราบให้กับผู้มีความเห็นต่าง หรือว่าความเกลียดชังแบบเข้ากระดูกนี้จะไม่มีทางแก้จริง ๆ ต้องรอเวลาให้คนรุ่นต่อไปที่กระบวนทัศน์เป็นอีกแบบหนึ่งไปเลยเข้ามาเป็นผู้แก้


ปัญหาความแตกแยกนี้เป็นปฏิกิริยาสัมพันธ์กับความเสื่อมทรามของระบบ ตราบใดที่เศรษฐกิจสังคมยังดี เรื่องพวกนี้ก็พอจะซุก ๆ ไว้ได้ แต่หากถึงยุคนี้สภาพการณ์มันแย่จริง ๆ ปัญหาก็ปะทุออกมา โทษกันไปว่าฝ่ายของแกนั่นแหละเลว ขายชาติ คอรัปชั่นและอีกร้อยแปด และจะไม่มีวันยอมรับศัตรูเลย เพราะถ้ายอมรับก็เกรงว่าสถานการณ์มันจะแย่ลงไปอีก ต้องเป็นฝ่ายฉันเท่านั้นที่จะแก้ปัญหาได้


นึกถึงตัวอย่างสองประเทศที่ผู้คนเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรมกันไปแล้ว ด้วยการผ่านประสบการณ์กาลเวลา นั่นคือเวียดนามกับรัสเซีย ประเทศแรกนั้นเคยรบกันเองเป็นสงครามระดับโลกมาแล้วเมื่อสี่สิบปีก่อน คอมมิวนิสต์ฝ่ายเหนือชนะประชาธิปไตยฝ่ายใต้อย่างเด็ดขาดในปี 2518 คนฝ่ายใต้ตายกันเป็นรุ่น พวกที่อพยพไปอยู่อเมริกาก็เป็นฝ่ายใต้ทั้งนั้น คอมมิวนิสต์เวียดนามก็มะงุ่มมะหงาปกครองกันอย่างจน ๆ ไป เพราะชาวญวนในอเมริกาคอยล็อบบี้ฝรั่งให้กดดันคว่ำบาตรเวียดนามตลอด

เคยมีข่าวว่าญวนคนหนึ่งที่เดินทางไปอเมริการอบหลัง ๆ เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจย่ำแย่ แต่หมอนี่ชอบระบอบคอมมิวนิสต์ ถึงกับเอารูปโฮจิมินท์มาติดร้านขายของ ผลคือชุมชนชาวญวนในลอสแองเจลิสประท้วงอย่างหนัก แต่ในวันนี้ที่ทุกอย่างในเวียดนามเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ไม่ว่าญวนคนไหนก็แสดงออกถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันด้วยความรักชาติ พวกที่เคยทะเลาะเบาะแว้งกันรุ่นโน้นเก็บเข้ากรุหมด


รัสเซียยุคปี 90 ที่โซเวียตล่มสลายก็แตกแยกกันขนาดหนัก ระหว่างพวกนิยมคอมมิวนิสต์ที่เห็นว่าทุนนิยมกำลังจะมาเข้าครอบประเทศกับพวกหัวสมัยใหม่ที่เห็นว่าพวกฝ่ายซ้ายคือผู้ฉุดลากทำลายชาติตัวจริง ความรู้สึกแบบนี้มีมาจนถึงช่วงสิ้นยุคแรกของวลาดิเมียร์ ปูติน แต่วันนี้ที่เศรษฐกิจรัสเซียดีขึ้น ขณะที่ภาพถูกกลั่นแกล้งจากชาติตะวันตกชัดเจนขึ้น ชาวรัสเซียที่ทะเลาะกันนั้นหายไปอยู่ใต้พรมหมด ไปที่ไหนก็เจอแต่คนรักชาติ ประเทศกลับมามีรอยยิ้มอีกครั้ง

สองกรณีนี้ต่างใช้เวลาไปกรณีละไม่น้อย หรือคนไทยอาจจะต้องเป็นแบบนั้น

คมชัดลึก (ไม่ใช่คมชักลุก) 22 มี.ค.52

วันพุธที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2552

พับแผนขีปนาวุธจ่อคอหอยรัสเซีย

งงกันไปตาม ๆ กัน หลังจากที่รัฐบาลประธานาธิบดีบารัค โอบามา ชะลอโครงการติดตั้งขีปนาวุธให้ยุโรปที่อ้างว่าไว้ดักจรวดอิหร่านเอาไว้ก่อน นี่เป็นเรื่องใหญ่ที่อาจพลิกทั้งโฉมหน้าความสัมพันธ์กับทั้งรัฐบาลเตหะรานและทำเนียบเครมลิน พิราบที่โบยบินลดดีกรีความวิตกของโลกได้ขีดใหญ่ แต่ไม่ใช่ที่ยุโรปตะวันออกเป็นแน่


โครงการนี้กำกวมและเป็นที่ถกแถลงมาตั้งแต่ต้น รัฐบาลสหรัฐ ฯ ชุดก่อนที่จริงจังมากกว่าประเทศที่หนุนหลังการก่อการร้ายได้วางโครงการนี้ขึ้นมาตั้งแต่ปี 2545 โดยจะติดตั้งขีปนาวุธแบบสกัดกั้นไว้ที่โปแลนด์ 10 ลำทำงานตามสั่งควบคู่กับสถานีเรดาร์ที่สาธารณรัฐเช็ค ประเทศที่อยุ่ติดกัน เหตุผลที่ทำเนียบขาวใช้ก็คือ มีเพื่อป้องกันการชิงโจมตียุโรปก่อนของอิหร่าน ปรปักษ์ตัวเอ้ที่มีรายงานว่ากำลังลอบผลิตขีปนาวุธพิสัยไกล ซึ่งถ้าหากติดหัวรบนิวเคลียร์ได้ด้วยจะยิ่งไปกันใหญ่ ที่รัฐบาลจอร์จ บุช วิตกจริตขนาดนี้เนื่องจากเวลานั้นอิหร่านมีทีท่าก้าวร้าวจริง ๆ ทั้งแทรกแซงอิรัก ทั้งด่ายิว และทั้งดื้อแพ่งเรื่องนิวเคลียร์ ปีกลายก่อนบุชจะอำลาตำแหน่งก็เซ็นต์อนุมัติโครงการขีปนาวุธยุโรปนี้ให้เดินหน้าจริงในทางปฏิบัติ


ใครก็มองออกว่าภัยคุกคามยุโรปที่จะมาจากทางอิหร่านเป็นเรื่องน่าหัวเราะ แต่โครงการนี้น่าจะมีจุดมุ่งหมายเพื่อโอบล้อมรัสเซีย ซึ่งกำลังฟื้นตัวด้านการเงินและการทหาร จนสามารถแผ่อิทธิพลคุกคามอดีตรัฐบริวารไม่ให้แอบอิงชาติตะวันตกเสียมากกว่า ทำเนียบเครมลินไม่พอใจโครงการขีปนาวุธที่ผิดฝาผิดตัวนี้มาตั้งแต่ต้น จึงต่อต้านหัวชนฝา แต่รัฐบาลรีพับลิกันช่วงนั้นก็ทำเป็นไม่เข้าใจ ส่งผลให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองยักษ์ใหญ่ตึงเครียด ส่งผลกระทบต่อสนธิสัญญาที่เคยลงนามกันไว้หลายฉบับ ที่รัสเซียจะไม่เอาด้วยแล้ว โดยเฉพาะด้านการลดอาวุธทั้งนิวเคลียร์ จรวดและกำลังตามแบบ ที่แสบสุดคือรัสเซียประกาศเคลื่อนขีปนาวุธพิสัยใกล้เข้าไปวางที่คาลินินกราดติดพรมแดนโปแลนด์ การปะทะอาจเกิดขึ้นหากโครงการขีปนาวูธยุโรปสำเร็จจริงปี 2555


โอบามา อ้างว่าที่ระงับแผนไว้ก่อนเพราะในระยะเวลาอันใกล้อิหร่านคงไม่สามารถสร้างขีปนาวุธพิสัยไกลได้ทัน เรื่องนี้ไม่ต้องวิจัยก็รู้ แท้จริงที่โอบามาทำเช่นนี้นั้นหมายจะสร้างมิติใหม่ด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหลายเด้ง เขาอยากใช้แนวทางนุ่มกว่าบุชในการเจรจาแก้ไขปัญหานิวเคลียร์อิหร่าน ซึ่งจะส่งผลให้แผนสันติภาพปาเลสไตน์ฉบับใหม่ราบรื่นขึ้นด้วย ขณะเดียวกันก็โอบรัดรัสเซียด้วยไมตรี ลดทอนเงื่อนไขที่จะเกิดแบบจอร์เจียที่ดูยังไงหนทางดังกล่าวก็ล้มรัสเซียไม่ลง งานนี้ได้ใจชาวยุโรปที่โล่งอก ไม่ต้องเสี่ยงสงคราม แต่บรรดาผู้นำอดีตชาติคอมมิวนิสต์ยิ่งหายใจไม่ทั่วท้อง กรงรัสเซียจะสบช่องตีกินทีละชาติในเวลาต่อไป



คมชักลุก 22 กันยายน 52

วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2552

มหาตมะคานธี วีรบุรุษตัวจริง ไม่ใช่ตัวปลอม

วันนี้ 2 ตุลาคม ของทุกปีเป็นวันคล้ายวันเกิดบุคคลสำคัญสองคนสำหรับผม หนึ่งนั้นคือ คุณแม่ พลโทหญิงอุบลรัตน์ เมืองมั่น อีกคนคือ ท่านโมหันทาส กรมจันทร์ คานธี หรือมหาตมะ คานธี ที่คนทั่วโลกรู้จักดี

ถ้าเราจะหาวีรบุรุษตัวจริงสักคนหนึ่งในโลกของเรานี้ ไม่ใช่พวกที่มักยกตัวเองเป็นวีรบุรุษ หรือขุนทัพเกรียงไกร แต่จิตใจโหดร้ายยืนหยัดบนซากศพคนอื่นแล้วล่ะก้อ ชายร่างเล็กผู้นี้เลยครับ สุดยอดนักต่อสู้ตัวจริง ที่ต่อสู้ด้วยมือเปล่า แต่มีความสำเร็จชัดเจน ด้วยหลักการและอุทิศตนที่พิสูจน์ได้ ทั่วโลกยอมรับ


ท่านเป็นชาวฮินดู โดยกำเนิด เกิดมาในยุคอินเดียอยู่ใต้อาณานิคมอังกฤษ ท่านกลับมาอินเดียปี 1915 หลังสรางชื่อเสียงด้านสิทธมนุษยชนพอสมควรในแอฟริกาใต้ แล้วมาอังกฤษเพื่อรณรงค์ให้ชาวอินเดียรักกัน ร่วมกันปลดแอกจนอังกฤษให้เอกราชปี 1947 และอีกไม่กี่เดือนท่านก็โดนยิงตาย


ลำพังแค่ข้อมูลเท่านี้ หลายคนคงสงสัยหรือคิดว่าท่านก็แค่นักกู้ชาติธรรมดาคนหนึ่งใช่ไหมครับ แต่ทำไมท่านถึงดังไปทั่วโลก มีคนกราบไหว้นับถือบูชาท่านไม่ขาดสาย ล่าสุด ไทม์ ยกย่องให้ท่านเป็นบุคคลที่เด่นที่สุดของศตวรรษที่ 20 เป็นอันดับสองรองจากไอนสไตน์ด้วย


นั่นเพราะท่านมีหลักการ ท่านรังสรรค์หลักการสัตยาเคราะห์ที่ว่า สัจจะคือพระเจ้า หนทางไปสู่สัจจะนั้นคืออหิงสา ใช้อหิงสาด้วยความรักและเมตตา และต้องอุทิศตนอย่างจริงจัง


หลักการง่าย ๆ แต่ท่านทำจริงจังไม่สร้างภาพว่าตนเองมีคุณธรรม แต่เบื้องหลังโสมมไม่ต่างจากนักการเมืองทั่วไป ไม่ข่มขู่จะใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา พวกที่จะปราบท่านถึงกับต้องโยนปืนทิ้งมากราบท่าน ท่านรณรงค์ไม่ร่วมมือกับอังกฤษ อังกฤษก็เซ่อแด๊กยอมผ่อนปรนให้ท่าน เพราะมีมวลชนแขกร้อยล้านหนุนหลังท่านอยู่ ท่านพาคนเดินขบวนประท้วงเงียบแบบที่เรียกอารยะขัดขืนของจริง ไม่ใช่เดินไปด่าแม่ศัตรูไป หรือไปยึดสมบัติของรัฐเหมือนผู้ประท้วงบางกลุ่มของประเทศเพื่อนบ้าน อังกฤษมาขอคุยท่านก็คุยดี ๆ จนฝรั่งนับถือท่านหมด ที่ไหนเกิดสงครามระหว่างชุมชน ท่านก็เดินไปกินนอนที่นั่น ไม่ใช่เป็นผู้นำมาเกือบปีแล้วยังไม่กล้าลงพื้นที่ที่มีปัญหา ที่ไหนที่ท่านไปถึงสงครามก็หยุด คนมาคืนดีกัน ช่างมหัศจรรย์ยิ่งนัก


คนเชื่อถือท่านก็เพราะท่านทำจริงอย่างที่ว่า ท่านสอนใครตัวเองก็ทำก่อน หลักสรรโวทัยของท่านต้นแบบเศรษฐกิจพอเพียงทุกวันนี้นั้นสอนให้พึ่งตนเองก่อน ท่านก็หุงหาอาหารล้างส้วมเอง ทอผ้าห่อเอง ทำเกลือเอง ไปไหนก็ด้วยเท้าตนเอง ไม่ใช่รถเบนซ์ ไม่สะสมอะไรเลยนอกจากความดี ต่างจากคนบางพวกที่คำก็อ้างทำเพื่อพ่อ สองคำก็พอเพียง แต่รวยโคตรโลภโคตร