วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

พันธมิตร คุณคิดหรือจะได้ในสิ่งที่ต้องการ

ผมขอนำบทความเก่าที่เคยลงในโอเคเนชั่นเมื่อคืนก่อนวันที่ พวกพันธมิตรจะเหิมเกริมกล้าล้อมรัฐสภา ปิดสนามบินมาลงให้ท่านผู้อ่านได้พิสูจน์กันอีกครั้ง สิ่งที่วันนี้สนธิ ลิ้มทองกุล ออกมาด่าประชาธิปัตย์ว่าหลอกใช้พวกเขาให้ก้าวขึ้นสู่อำนาจ นั้น ผมและคนอีกเป็นจำนวนมากคาดการณ์ได้ก่อนแล้ว ผมถึงกับเขียนเตือนไว้เลยว่าพันธมิตรอย่าออกไปสร้างความวุ่นวายให้ประเทศชาติ แต่พวกพันธมิตรในบล็อกนั้นไม่เชื่อ โจมตีบทความนี้กันใหญ่ พอมาวันนี้คงรู้สึกเสียใจไม่น้อยที่ต้องบาดเจ็บล้มตายกันเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ชนิดที่พวกเขาเสียใจหนักกว่าเดิมเสียอีก

ลองอ่านคำเตือนของผมเมื่อคืนวันที่ 22 พ.ย.51 กันครับ


บอกตรง ๆ โอกาสชนะโดยไม่นองเลือดของคุณน้อยมาก แล้วถึงแม้ชนะแล้ว คุณก็จะไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ

ทางชนะโดยไม่นองเลือด คือ จู่ ๆ ทหารก็ปฏิวัติ โดยข้ออ้างด้านความปลอดภัยหรืออื่น ๆ ข้อนี้พลเอกอนุพงศ์พูดย้ำหลายครั้งแล้วว่าไม่ทำ หรือการที่รัฐบาลจะยอมยุบสภา ลาออก ไปง่าย ๆ รัฐบาลก็ไม่ออก ถ้าทำ เขาทำไปนานแล้ว ครั้นจะรอให้รัฐบาลโดนตุลาการสอย นายกสมชายจากไป แต่พลังประชาชนยังจับขั้วกันแน่น

ยิ่งถ้าหวังให้ พรรคฝ่ายค้าน+ 40 ส.ว.ลาออก เพื่อหวังให้รัฐสภาแกว่ง พวกนี้เขาก็ไม่ออก กินเงินเดือนต่อไป

สำหรับทางชนะนั้นพอมี แต่ก็ต้องนองเลือด ไม่ว่าเกิดจากฝ่ายใครทำ คุณจะยอมให้พี่น้องผู้เชื่อในแนวทางเดียวกับคุณอย่างสุดจิตสุดใจต้องเสี่ยงหรือ

นองเลือดแล้วพันธมิตรชนะนั้นอาจเกิดจาก 2 สถาน คือ ทหารมาปฏิวัติโดยความจำเป็น หรือมีพระบรมราชโองการเหมือนเช่นปี 35 ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ พอจะถือได้ว่าพันธมิตรชนะ

แต่พันธมิตรก็จะไม่ได้สิ่งที่ตนต้องการ อยู่ดี เพราะ

1. ฝ่ายที่คุณคิดว่าดี ไม่โกงกินชาติ นั้นมันไม่มีอยู่จริง คุณไว้ใจพรรคประชาธิปัตย์จริงหรือ หรือว่าจำเป็นต้องเลือกเขาเพราะเกลียดทักษิณมาก ลองใคร่ครวญผลงานในอดีตเขาก่อนก็แล้วกัน สำหรับทหารปฏิวัตินั้น เขาอาจมาล้างระบอบทักษิณจริง แต่คุณก็คงทรรบดีถึงสิ่งที่พวกเขาเคยทำในอดีต เอาแค่ส่งคนไปตามรัฐวิสาหกิจทั้งหลายก่อนก็แล้วกัน ดังนั้น สิ่งที่คุณว่าไม่ดีไม่งาม มันจะยังคงมีอยู่ต่อไป

2. ถ้าคุณยังคิดว่าจะกำจัดระบอบโกงกินนี้ได้ ด้วยการเมืองใหม่ ผมว่ายากมาก เพราะประเทศไทยนั้น นายทุน ขุนศึก ศักดินา เขาอยู่คู่สังคมไทยมานาน ได้ประโยชน์จากระบอบอุปถัมน์มานาน การเลือกตั้งแบบแบ่งตามจังหวัด ตามอำเภอ พวกเขาก็กำหนดเอง เพื่อบูรณาการแนวทางสันติแต่ได้ประโยชน์ในหมู่พวกเขา หากประชาชนจะแชร์อำนาจบ้าง ก็ต้องเข้ากรอบระบบที่พวกเขาวาง คุณคิดหรือว่า หากพวกเขาเสียผลประโยชน์ไป จะไม่สู้แบบที่เขาเคยสู้กับทักษิณ

เอาแค่สองข้อ ก็พอให้คุณตระหนักว่าเรื่องนี้คุ้มกับการล้อมรัฐสภาพรุ่งนี้ไหม

ถ้าคิดว่า คุ้มค่า ได้ผลลัพธ์เท่าไหร่ก็ช่าง สูญเสียอะไรบ้างก็ช่าง แต่วันนี้ขอชนะฝ่ายรัฐบาลก่อน ก็เชิญเถอะครับ

เพียงแต่ผมเกรงว่า นี่จะเป็นการ"ตีงูให้กากิน" หรือ ถึงชนะก็มียืดเยื้อ นี่ยังไม่ได้วิเคราะห์เรื่องตัวแปรฝ่ายตรงข้ามกับพันธมิตรเลยด้วยซ้ำ

วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ความจริงไข้หวัดมาร์ค ที่สรยุทธ์เผย มันคนละเรื่องกับที่เราถูกยัดเยียดให้รู้

การที่สรยุทธ์ พิธีกรข่าวช่อง 3 นำเอาดาราที่สูญเสียพ่อจาก "ไข้หวัดมาร์ค" มาออกทั้งเสียง ทั้งตัวตน เมื่อวานและวันนี้นั้น น่าจะทำให้คนที่ยังไม่รู้ได้รู้ซะ ตาสว่างกับไข้หวัดชนิดนี้ซะที อย่าได้งมอยู่กับความรู้ผิด ๆ ที่คนบางพวกกำลังสื่อ เพื่อปกปิดความไม่เอาไหนของตัวเอง

ความรู้แจ้งนั้นก็คือ

1. ไข้หวัดชนิดนี้น่ากลัวมาก ไม่ใช่แค่เป็นเองหายเองเท่านั้น เพราะถ้าคุณเจอแจ๊คพอทอย่างพ่อของดาราท่านนั้น คุณก็ตาย ไข้หวัดนี้แพร่พันธุ์เร็ว วันเดียวกินปอดไป 90% เกิดมาก็พึ่งเคยได้ยิน คนปกติเจอแค่ 2 วันก็อาจตายได้ ไม่ต้องรอนาน

2. อย่าไปเชื่อเรื่องคนกลุ่มเสี่ยงยังโง้นยังงี้ ตามที่คนชุ่ย ๆ ยัดเยียดข้อหาให้ คนแข็งแรงไม่มีโรคประจำตัวก็มีสิทธิตายได้เท่า ๆ กัน ต่อให้ได้ยาต้านเต็มที่ ถ้าโรคมันจะเอาชีวิตคุณ มันก็เอา

3. สถานพยาบาลทั้งหลายไม่ทันท่วงทีต่อโรคนี้หรอก เพราะบางแห่งไม่มีเครื่องมือตรวจ คุณเข้าไปเขาก็ว่าเป็นหวัดธรรมดา (ได้เงินจากลูกค้า 500 บาทเอาไว้ก่อน ไม่ได้จากค่าตรวจอีก 3000 ก็ไม่เป็นไร) ให้ยามากิน หากคุณเป็นหวัดหมู อีก 2 วันอาการคุณก็หนักแล้ว บางแห่งมีการตรวจด้วยราคาแพง คนจนตรวจไม่ได้ คนรวยตรวจได้แต่ก็รอผลอย่างน้อย 1-2 วัน อาการคุณอาจจะหนักแล้ว

4.มาตรการติงต๊องที่กำลังทะยอยออกมานั้นแก้ไม่ได้ เพราะโรคมันเต็มบ้านเต็มเมืองซะแล้ว ถึงจะเร่งแก้ แต่แก้เเบบลูบหน้าปะจมูก เช่น ปิดโรคเรียน ปิดสถาบันกวดวิชา แต่ไม่ปิดที่ชุมนุมชนใหญ่ ๆ เช่น ตลาด มหาวิทยาลัย โรงหนัง บริษัท ศูนย์ราชการ ผลก็คือ โรคยังแพร่กระจายได้อยู่ ไม่มีกระโยชน์เลย

เเค่ความจริง 4 ข้อนี่ก็ลำบากซะแล้ว คนก็ต้องลงไปเสี่ยงดวงกันเอาเอง โชคดี คุณก็จะไม่เป็นไข้หวัดหมู หรือเป็นก็ไม่ตาย แต่ถ้าโชคร้าย ใครก็ช่วยคุณไม่ได้

รักษาตัวทุกคนนะครับ

วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ประชุม ARF กับภัยคุกคามจากภายนอก

ช่วง 16-23 ก.ค.จะมีการประชุมอาเซียนว่าด้วยความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ( ASEAN Regional Forum ) ที่จังหวัดภูเก็ต งานใหญ่ระดับนี้ทางการคงตระเตรียมกำลังอย่งเต็มที่ ไม่ต้องการให้ทุกอย่างจบลงเหมือนกับที่พัทยาแล้วฝ่ายความมั่นคงก็ตกเป็นแพะรับปากอีก อย่างไรก็ตาม งานนี้ไม่ได้มีแต่เฉพาะคนเสื้อแดงที่มาแน่ แต่ต้องระวังอีกหลายกลุ่มเหลือเกิน เมื่อพิจารณาจากโจทก์ประเทศที่เข้าร่วมประชุมและชัยภูมิของสถานที่จัด


ขอแยกออกเป็นภัยคุกคามจากภายนอกและภายในเสียก่อน ภัยคุกคามการประชุมภายในนั้นคือดูเหมือนจะเตรียมรับกันอย่างเต็มที่ เนื่องจากทราบดีอยู่แล้วว่าคนเสื้อแดงจองกฐินรัฐมนตรีต่างประเทศคนนี้ข้ามปี ทุกเวทีที่อดีตนักเคลื่อนไหวทางการเมืองคนนี้เกี่ยวข้องต้องถูกคนเสื้อแดงประท้วง ต่างจากการประชุมอาเซียนวงอื่น ที่เป็นห่วงรองลงมาคือการเกรงว่าไฟใต้ที่รุนแรงขึ้นทุกวันจะลามไปถึงภาคใต้ตอนกลางด้วย ทุกวันนี้ผู้ก่อการร้ายมีลูกเล่นใหม่ ๆ แปลกและเหี้ยม จึงต้องมีมาตรการคุมเข้มการรักษาความปลอดภัยให้หนัก นอกจากนี้ที่ต้องมีการชุมนุมประท้วงแน่ ๆ ก็คือ ผู้เดือดร้อนจากโครงการของรัฐหรือเอกชนรายใหญ่ เกษตรกรผู้เจอปัญหาพืชผลตกต่ำ เอ็นโจอีที่นัดกันมากับคนที่เจอพิษเศรษฐกิจและคิดว่าเป็นฝีมือของรัฐบาลชุดนี้ และอื่น ๆ ซึ่งไม่ถึงกับก่อความรุนแรง แต่ก็สร้างความเหน็ดเหนื่อยแก่ฝ่ายสกัดกั้นไม่น้อย บทความนี้จะไม่กล่าวถึงประเด็นภายในนี้


ภัยคุกคามจากภายนอกนั้นคือภัยคุกคามที่ติดตามประเทศที่เข้าร่วมประชุมมา ส่วนใหญ่ไม่เกี่ยวกับไทยโดยตรงแต่เวทีการประชุม ARF นั้นเป็นเวทีที่ตัวแทนถึงขั้นระดับรัฐมนตรีของประเทศดัง ๆ มาเจอกัน หากคนกลุ่มใดต้องการโชว์ผลงานของตนให้เป็นข่าวระดับโลกก็อาจใช้เวทีนี้เป็นที่แสดงผลงาน นี่คือผลกระทบที่เป็นผลิตผลของยุคโลกาภิวัตน์ซึ่งใคร ๆ ก็มาแสดงออกเพื่อกระจายข้อเรียกร้องของตนแผ่กว้างอกไปได้ การแสดงออกบางอย่างนั้นอาจแค่ควบคุมให้อยู่ในความสงบบนหรือข้างผิวจราจรเท่านั้น แต่บางอย่างต้องถึงขนาดให้เกิดขึ้นไม่ได้กันเลย และการควบคุมรักษาความปลอดภัยนั้นไม่ใช่จำกัดแค่สถานที่ประชุม แต่ต้องครอบคลุมทั้งเกาะกันทีเดียว


ผู้แทนประเทศที่เข้าข่ายเสี่ยงต่อการก่อการร้ายสากลได้เดินทางมาประชุมในคราวนี้หลายราย ที่สำคัญคือตัวแทนชาติตะวันตก ทั้งสหรัฐ ฯ สหภาพยุโรป ออสเตรเลีย แคนาดา นิวซีแลนด์และสิงคโปร์ เพราะประเทศเหล่านี้ทำสงครามต่อต้านก่อการร้ายเชิงรุกในหลายพื้นที่ของโลก ชีวิตและทรัพย์สินของพลเมืองประเทศเหล่านี้มีโอกาสถูกการปองร้ายจากผู้ก่อการร้ายสากลอยู่แล้ว ประเทศอื่นที่น่าเป็นห่วงเช่นกัน คืออินโดนีเซีย ต้นทางของกลุ่ม JI ผู้ร้ายตัวเอ้ของภูมิภาค แม้ว่าปัจจุบันกลุ่มนี้กำลังอยู่ในระหว่างฟื้นฟูกำลัง เพราะสูญเสียบุคลากรไปมาก แต่ก็อาจจะตามมาก่อเหตุในนี้ได้ ฟิลิปปินส์ที่กำลังมีปัญหาการสู้รบกับกลุ่มติดอาวุธหลายกลุ่มก็ตกที่นั่งเดียวกับอินโดนีเซีย JI มีฐานที่มินดาเนาด้วยและพร้อมปฏิบัติการเพื่อไม่ให้สันติภาพเกิดขึ้นได้ และที่กำลังมาแรงและต้องระวังไว้คือ คู่กรณีอย่างอินเดียกับปากีสถาน มาร่วมประชุมด้วย จริงอยู่ที่ผู้ก่อการร้ายเอเชียใต้ไม่มีประวัติก่อเหตุนอกพื้นที่ แต่ในรอบปีที่ผ่านมากลุ่มหัวรุนแรงก่อเหตุเพื่อหวังผลทางศาสนาและการเมืองอย่างน่าสะพรึงกลัวหลายครั้งจึงควรระวังไว้

กลุ่มต่อต้านรัฐบาลในประเด็นเฉพาะที่คาดว่ามาแน่ก็คือกลุ่มต่อต้านจีน กรณีละเมิดสิทธิมนุษยชนในทิเบตและซินเจียง อาจจะมีผู้ประท้วงจากไต้หวันด้วย กลุ่มต่อต้านรัฐบาลทหารพม่านั้นก็คงมาเช่นกัน ประเด็นร้อนเวลานี้มีทั้งการกักตัวอองซาน ซูจีและนักโทษการเมืองจำนวนมาก การปราบปรามชนกลุ่มน้อยชายแดนไทย และการทอดทิ้งชาวโรฮิงญา นอกจากนี้อาจมีกลุ่มชาวทมิฬที่ประท้วงศรีลังกาที่พึ่งเอาชนะสงครามกับกลุมพยัคฆ์ทมิฬอีแลมและยังจัดการกับปัญหาผู้ลี้ภัยไม่เรียบร้อย กลุ่มประท้วงเกาหลีเหนือกรณีท้าทายมติสหประชาชาติ ทดลองนิวเคลียร์และขีปนาวุธคุกคามเอเชียตะวันออกไกล กลุ่มประท้วงเวียดนามกรณีชนกลุ่มน้อยชาวเขาและ และที่น่าสนใจคือ ขณะที่ปัญหาชายแดนไทยกับกัมพูชาคุกรุ่น ก็อาจมีผู้เดินทางไปประท้วงรัฐบาลกัมพูชาที่เล่นบทยั่วยุไทยด้วยการรุกเข้ายึดพื้นที่ทับซ้อนหลายจุดในเวลานี้ อย่างไรก็ตาม การประท้วงเหล่านี้ไม่น่าที่จะมีความรุนแรง

แม้ว่าการรักษาความปลอดภัยบริเวณสถานที่และการอารักขาผู้เข้าร่วมประชุมคงอยู่ในระดับที่ยอดเยี่ยม แต่พึงระวังการก่อเหตุในพื้นที่อื่นด้วย เช่นในสถานที่สาธารณบนเกาะ นอกจากนี้การที่ภูเก็ตเป็นเกาะ มีข้อดีตรงทำเลผาสูงทำให้ยากต่อการเข้าถึงของผู้ก่อการร้าย อย่างไรก็ดี การก่อการร้ายที่นครมุมไบของอินเดีย เมื่อ ๒๗ พ.ย.๕๒ นั้น ผู้ก่อการร้ายได้ใช้การเข้าถึงจากทะเล ขึ้นฝั่งแล้วแยกจุดปฏิบัติการในเวลาเดียวกัน การที่อินเดียคาดไม่ถึงการระวังป้องกันจากทะเลและการโจมตีสถานที่สาธารณะนั้นมีส่วนทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บในเหตุการณ์ครั้งนั้นจำนวนมาก

กรุงเทพธุรกิจ ต้นเดือน ก.ค.52

วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ผู้ไม่หวังดีต่อการประชุมอาเซียน

และเเล้วก็มาถึง การประชุมระดับรัฐมนตรีอาเซียนกับคู่เจรจาที่หวังจะขยายความร่วมมือให้เต็มรอบกับประเทศที่มีศักยภาพของทั้งเอเชียตะวันออก ออสเตรเลียและเอเชียใต้ การช่วงชิงผลประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ของภูมิภาคนั้นไม่เคยรอใคร หากประเทศไทยพ่ายแพ้ แล้วใครเล่าที่ได้ชัยชนะ


ไม่อยากโทษว่าใครที่ทำให้ไทยจัดการประชุมคราวก่อนที่พัทยาล่ม ถ้าเข้าข้างรัฐบาลก็คงต้องป้ายผิดไปที่เสื้อแดงบุกโรงแรมการประชุม จนต้องพาผู้เข้าร่วมประชุมหนีตายกลับบ้านอย่างทุลักทุเล แต่หากเข้าข้างเสื้อแดง ก็ต้องโทษรัฐบาลว่าพามวลชนจัดตั้งออกมาหาเรื่องปะทะ สร้างสถานการณ์ให้ดูใหญ่โตจนถึงขั้นนั้น เพื่อหาข้ออ้างล้อมปราบเสื้อแดง ไม่ว่าเรื่องลับจะเป็นอย่างไร เรามาให้ความสนใจกับการประชุมในทางยุทธศาสตร์ดีกว่า


ประเทศไทยต้องการการประชุมครั้งนี้มากกว่าชาติใด จริงอยู่ที่ชาติ”อยากกู้”อื่น ๆ ของอาเซียนก็ต้องการเหมือนกันที่อยากเห็นรูปธรรมของกองทุนที่ชาติเอเชียตะวันออกจะโปะลงมาช่วยอาเซียนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภูมิภาค แต่พวกเขาไม่สามารถรอ ต.ค. ได้หรอก ถึงตอนนั้นก็คงวิ่งกันหาความช่วยเหลือไม่ทางใดก็ทางหนึ่งจนได้ไปแล้ว แต่ไทยที่มีโอกาสดีฝังเพชร ปีนี้ควบทั้งเจ้าภาพและเลขาธิการตำแหน่ง กลับสูญเสียทั้งเครดิตและศักดิ์ศรีชนิดไม่รู้ว่าจะฟื้นเมื่อไหร่ แล้วอย่านึกว่าการจัดประชุมระดับอื่นจะทางโล่งเหมือนประชุมอาเซียนกลาโหมและสาธารณสุข เพราะเวทีใด ๆ ที่รัฐมนตรีกษิต ภิรมย์ไปเกี่ยวข้องก็อาจจะโดนต่อต้านอย่างหนักไปจนถึงสิ้นปี


ดูเผิน ๆ แต่ละชาติก็อยากให้อาเซียนเข้มแข็ง แต่ก็มีหลายประเทศที่มีวาระของตนอยู่ เช่น ในอาเซียนเอง ความอิจฉาริษยาต่อไทยที่มีภูมิรัฐศาสตร์เหมาะต่อการประสานพันธกิจเอเชียแปซิฟิกที่สุด ทำให้เกิดกรณีแทงลับหลังมานานแล้ว ในอดีตก็มีเรื่องของการออกข่าวถล่มไทยเกินจริง หรือยัดสินบนคนไทยให้เอื้อประโยชน์ชาติอื่นเข้าไว้ ทุกวันนี้ก็อาจมีคนบางกลุ่มเล่นวิธีนี้อยู่ ชาตินอกภูมิภาคบางชาติ ก็ไม่อยากเห็นอาเซียนเป็นสนามเด็กเล่นให้คู่แข่งทางยุทธศาสตร์ครอบงำจนเกินไป ก็เลยต้องทำให้อาเซียนอ่อนแอเข้าไว้


และหากรัฐบาลยังคิดง่าย ๆ ว่าจัดที่ภูเก็ตนั้นสะดวกทุกอย่าง เพราะเป็นเมืองท่องเที่ยวนั้นก็ขอให้ระวังเรื่องการก่อการร้ายให้จงหนัก ทำเลที่ยากต่อการรักษาความปลอดภัยและความโด่งดังของภูเก็ตอาจเป็นเวทีให้พวกเขาได้โชว์ หากไทยพลาดท่าที่นั่น การท่องเที่ยวก็จบไปด้วย

ดัดแปลงขาก มองมุมยุทธศาสตร์ คมชัดลึก 24 พฤษภาคม 2552

วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ติดตามงานเขียนเพิ่มเติมที่คมชัดลึก ทุกวันอังคาร

ช่วงนี้ คุณกวี จงกิจถาวร ผู้เขียนคอลัมน์โลกสาระจิปาถะ หน้า 4 คมชัดลึก วันอังคารป่วย ผมจึงช่วยเขียนแทนไปพลางก่อน

ด้งนั้นจึงเชิญชวนอ่านบทความของผมเพิ่มเติมที่คอลัมน์ดังกล่าว

http://www.komchadluek.net/column/บทความ/บทความ_โลกสาระจิปาถะ.html/1/


เนื้อหาจะเป็นการต่างประเทศเป็นหลัก โดยเขียนถึงเหตุการณืในต่างแดนที่อาจเกี่ยวข้องกับไทย โดยเฉพาะด้านความมั่นคง บางอย่างก็คล้ายกับที่เขียนในมองมุมยุทธศาสตร์ ลองดูนะครับ

วันเสาร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เสี่ยงตายห่าทั้งประเทศ เพราะพวกคุณน่ะไม่เอาไหน

เห็นการอ้างของพวกผู้รับผิดชอบสาธารณสุข กับพวกหมอ นักวิชาการและนักการเมือง ที่ออกมาพูดเรื่องไข้หวัดหมูว่า ไม่น่าเป็นห่วงมาก ล้างมือปิดจมูกก็โอเค ตายแค่นี้รับได้ คนตายส่วนใหญ่อ่อนแอเป็นโรคอยู่แล้ว ส่วนการดูแลของรัฐนั้นถูกต้องตามขั้นตอนทุกอย่าง....จะอ้วกครับ

ถ้าไม่เพราะความไม่เอาไหนของพวกนี้ ประเทศชาติจะไม่เสี่ยงอย่างนี้หรอก

คำพูดพวกนี้ไม่ได้ทำให้คนใจเย็นลง แต่ยิ่งสมเพชระคนโกรธแค้นพวกที่พยายามปิดบังความจริงและแก้ไขเฉพาะหน้าไปวัน ๆ มากขึ้น

ประเทศไทยมันมีประชากรที่ติดเชื้อง่ายเป็นพิเศษ ลักษณะภูมิประเทศที่ง่ายต่อโรคระบาด หรือยังไงจึงมีคนติดเชื้อมากกว่าอินเดีย อินโดนีเซีย มาเลเซียเป็นสิบเท่า ยิ่งคนตายยิ่งไม่ต้องพูดถึง ถ้าแค่ตรรกะนี้ไม่ทำให้พวกห่วยยอมรับตัวเอง เลิกตะแบงไปเรื่อยแล้วล่ะก้อ แสดงว่าพวกนี้....ยิ่งกว่าที่เราคิดไว้มากนัก

โทษคนเหล่านี้เถอะ ไม่ต้องไปโทษคนตายว่าเป็นโรคอื่นมาก่อนเเล้วหรอก เพราะคนแข็งแรงก็ตายได้

1. โทษพวกที่หวังแต่รายได้จากเอาแต่การท่องเที่ยว โดยในช่วงแรกทั้งปิดข่าว ทั้งไม่ยอมตรวจคนเข้าออกประเทศ ไม่ยอมตรวจเข้มที่สาธารณะ โธ่ สุดท้ายพังกันหมดแบบนี้ แล้วแม้แต่การท่องเที่ยวก็เจ๊ง

2. โทษพวกที่เอาเปรียบประชาชน ค่าตรวจโรคบ้าบออะไร 3-4000 ใครมันจะไปตรวจได้ทุกคน กว่าจะไปตรวจอาการก็เพียบหนักแล้ว และก็ตายไป

3. โทษพวกที่ไม่ไยดีราษฏร จนบัดนี้ยังทำทองไม่รู้ร้อน ไม่ออกวาระฉุกเฉิน ไม่ออก พรบ.โรคติดต่อ แก้ปัญหาหน่อมแน้มไปวัน ๆ ไม่รู้ว่างบประมาณเอาไปทำอะไรหมด รณรงค์ประสาอะไรกัน ไม่เห็นมีคนคาดผ้าปิดจมูกสักเท่าไหร่ หรือว่างบประมาณเอาไปผลาญเล่นที่บุรีรัมย์ ภูเก็ต และนิวซีแลนด์กันหมด

4.โทษพวกโง่แล้วอวดฉลาด ใจเย็น ยังหลอกประชาชนต่อไปว่าเดี๋ยวก็หายเอง คนติดเป็นแสนเป็นล้าน อีก 3 ปีก้ยังเป็นกันอยู่ นี่ถ้าลูกหลานพวกคุณติดโรคนี้บ้าง ยังเฉยอย่างนี้ไหม

5. โทษพวกหน้าทน ทำผิดพลาดขนาดนี้ยังไม่ลาออกอีก ไม่รับผิดชอบอะไรเลย ต้องรอให้พ่อแม่คนตายเขาบุกชกหน้าก่อนใช่ไหม

ทำต่อไปนะครับ ไอ้แค่เปิดป้าย พูดปาฐกถา สร้างภาพถ่ายรูป ยิ้มหวานไปวัน ๆ น่ะ ไม่ต้องทำอะไรมากกว่าสติปัญญาของตนหรอก เดี๋ยวหวัดหมูมันก็หายไปเอง ถ้ามันจะหาย...คิดยังงี้ใช่ไหม

คร้าบ หวัดสายพันธุ์ 2009 ไม่น่ากลัวหรอก ที่น่ากลัวคือการกลายพันธุ์เป็นหวัด 2010 คนคงตายเยอะกว่านี้ แต่เบาใจได้ ไม่มีหวัด 2011 แน่นอน เพราะคนไทยตายหมดแล้ว

วันพุธที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

สุวิทย์แจงเหตุที่ไทยแพ้กัมพูชาเรื่องมรดกโลก

เมื่อกี้เปิดไปแวบ ๆ ช่อง 11 เอาสุวิทย์ คุณกิตติ มาแก้ตัวเรื่องไทยพลาดท่าในที่ประชุมมรดกโลก ได้ดูตอนท้าย ๆ ไม่นานนัก แตก็หดหู่ใจยิ่ง เพราะรัฐบาลไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ส่งคนไม่รู้เรื่องอย่างสุวิทย์ไปนั่งเป๋อเหล๋อ เลยจบกัน

สุวิทย์ บอกเองว่า ไปประชุมมรดกโลกแบบผู้สังเกตการณ์ นั่งเฉย ๆ ไม่มีใครคุยด้วย คณะกรรมการ 21 ท่านคุยกันเอง แล้วก็เจรจาต่อรองกับกัมพูชาต่าง ๆ นานา ขณะที่กัมพูชามีการจัดเตรียมคนเข้าประชุมมรดกโลกอย่างเป็นระบบ มีทั้งรองนายก 1 นาย รัฐมนตรีอีก 2 นาย เจ้าหน้าที่หลายระดับ รวมเป็นทีมใหญ่ 20 กว่าคน เข้าเจรจากับคู่เจรจาของฝ่ายมรดกโลกทุกระดับ ชนิดประกบกันเลย ผลจึงออกมาอย่างที่เห็นคือ คณะกรรมการมรดกโลกให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนไปแล้ว รอแต่จัดทำแผนให้สมบูรณ์

ความจริงเรื่องแผนสมบูรณ์นี้ กัมพูชารับปากเมื่อปีก่อนว่าจะเคลียร์ใน กพ.52 นี้ จนผมเกรงตอนนั้นว่าอาจรบกันเละเพื่อให้บรรลุแผนให้ได้ เพราะทหารไทยยังขวางทางกัมพูชาอยู่ แต่มรดกโลกยังใจดีเลื่อนให้อีกปี เลยยังไม่รบกัน แต่ในที่สุดก็คงรบกันอยู่ดี เชื่อเถอะ

สุวิทย์ อ้างว่าตนเองไม่มีประสบการณ์ระดับนี้ ไม่รู้เรื่องเลย ตัวเองแค่เคยตามคณะสิทธิ เศวตศิลา ตอนทำงานด้านต่างประเทศเมื่อปี 2534 เท่านั้นจึงพอรู้อะไรบ้าง แต่งานใหญ่ระดับดีเฟนซ์ดินแดนกับฝรั่งนี้ ไม่นึกว่าจะขนาดนี้

โทษใครล่ะนี่ รัฐบาลไม่เห็นความสำคัญของคณะกรรมการมรดกโลก เพราะอะไรก็ไม่รู้ ไม่ตระหนักเลยว่าถึงคณะกรรมการนี้เป็นสายวัฒนธรรมและวิชาการ แต่มีอิทธิพลทางการเมืองที่เขมรมันเอาเป็นพวกเพื่อให้ได้ทั้งการเมืองและเศรษฐกิจ ผลจึงทำให้เขมรมันชนะไทยในประเด็นนี้

ฝรั่งนักวิชาการอุษาคเณย์มันปลื้มเขมรมานานแล้วว่าเป็นเจ้าของอารยธรรมโบราณแถบนี้ทั้งหมด เมื่อทุกอย่างสมประโยชน์สอดคล้องเลยเทการสนับสนุนไปที่เขมร เราสู้ยากตั้งแต่ในมุ้ง แล้วดันเอาคนไม่เก่งไปสู้ก็ยิ่งแพ้

นี่ยังไม่รวมถึงการใส่ร้ายป้ายสีกันเองเมื่อปีที่แล้ว จนไทยต้องเสียดินแดนของจริง ชนิดทั้งข้าราชการทหารและพลเรือนเสียใจกันหมด เหนื่อยเพื่อปกป้องชาติจนเกือบสำเร็จแล้วไม่พอ ดันโดนใส่ร้ายว่าขายชาติ ถูกฟ้อง แล้วชาติก็เสียดินแดนโดยพฤตินัยไปจริง ๆ นี่ก็อาจจะรบกันเสียเลือดเนื้ออีก

แล้วคนที่ก่อเรื่องนี้ตอนนี้ทำเงียบ เลียฮุนเซ็น ซื้อเวลาไปเรื่อย นึกหรือว่าเรื่องมันจะจบแค่นี้