วันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2553

สวัสดีปีใหม่ 2554 ครับทุกท่าน

ตอนนี้ผมกำลังเดินทางไปอินเดีย ไปดูสถานการณ์ความขัดแย้งในแคว้นแคชเมียร์ กลับมาอีกทีหลังปีใหม่ครับ

ที่หายจากบล็อกไปนาน เนื่องจากภารกิจในงานเยอะมาก นี่ก็พึ่งกลับมาจากจาการ์ตา/อินโดนีเซีย

ที่สำคัญคือน้องชายผมนอนอยู่ในโรงพยาบาลเป็นเดือน จนบัดนี้ยังไม่หายดี ต้องผ่าตัดสมอง สแกนสันหลัง เพราะมันรั่ว เขาว่าเป็นรายแรกของเมืองไทย

ก็ได้แต่หวังว่ากลับมาปี 2544 จะมีเรื่องราวมาเล่าให้ฟังเยอะขึ้นครับ เขียนบล็อกให้ถี่ขึ้น

สุขสันต์วันคริสต์มาส และปีใหม่นะครับ

บ๊ายบาย

วันพฤหัสบดีที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ยุทธศาสตร์ชาติและยุทธศาสตร์ทหาร

“ยากที่สุด คือยุทธศาสตร์” คำกล่าวนี้ไม่เกินเลยความจริงแต่อย่างใด เพราะยุทธศาสตร์คือเครื่องบอกทางของทุกสิ่งที่บุคคลหรือองค์กรจะเดินไปจนบรรลุความสำเร็จ ปัจจุบันการศึกษาและรังสรรค์ยุทธศาสตร์หรือกลยุทธเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับผู้บริหารระดับสูงและองค์กรต่าง ๆ แต่น่าเสียดายที่ประเทศไทยยังไม่มียุทธศาสตร์ชาติอย่างเป็นทางการ สิ่งที่ใกล้เคียงที่สุดคือในช่วงเวลานี้ของทุกปีนักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรจะเสนอยุทธศาสตร์ชาติในแนวคิดของพวกเขาให้นายกรัฐมนตรีและผู้บริหารระดับสูงของชาติและกองทัพทราบ สิ่งที่บรรดาคนระดับครีมของประเทศชาติเสนอนี้ไม่ได้ผูกมัดให้ฝ่ายบริหารบ้านเมืองต้องนำไปเป็นกรอบในการคิดการวางนโยบาย แต่อย่างน้อยก็เป็นเครื่องตรวจสอบได้ว่าผลประโยชน์ของชาติ ตลอดจนแนวทางที่ถูกที่ควรซึ่งนักคิดกลั่นออกมานั้นจะสอดคล้องกับนโยบายของผู้มีอำนาจตัดสินใจในรัฐบาลและองค์กรว่าจะเป็นไปได้เพียงไร


วันที่ 7 ก.ย.53 นักศีกษา วปอ.ได้จัดทำยุทธศาสตร์ชาติในห้วง 5 ปีข้างหน้าเสร็จสิ้นและแถลงให้นายกฟังที่หอประชุมกองทัพเรือ นี่คือผลงานทั้งปีของพวกเขาในการร่วมมือกันวิเคราะห์หาวิธีที่ใช้พลังอำนาจของชาติอย่างเกิดอรรถประโยชน์สูงสุดเพื่อบรรลุวัตุถุประสงค์ของชาติ ซึ่งก็หนีไม่พ้นการอยู่ดีมีสุขและมีเกียรติในสังคมโลก ในการนี้พวกเขาได้นำเสนอสาระสังเขปของผลประโยชน์ของชาติ วัตุถประสงค์แห่งชาติทั้งเฉพาะและมูลฐาน นโยบายความมั่นคงแห่งชาติ และยุทธศาสตร์ของชาติในรูปแบบมาตรการเฉพาะด้านต่าง ๆ ให้อภิสิทธิ์ฟังและหวังว่านโยบายต่าง ๆ ของรัฐนับจากนี้น่าจะต้องล้อตามแนวทางของพวกเขา เรื่องลึกลับของผลประโยชน์ทับซ้อนที่เคยอยู่คู่กับสังคมไทยมานาน จนคนกลุ่มหนึ่งหลงคิดว่าผลประโยชน์ของพวกเขาก็คืออันเดียวกับผลประโยชน์ของชาตินั้นจะค่อย ๆ หมดไป คนคิดยุทธศาสตร์ชาติหวังเช่นนี้ทุกรุ่น


ในปีนี้พิเศษตรงที่นักศึกษา”รุ่นน้อง”ของ วปอ. คือนักศึกษาวิทยาลัยเสนาธิการทหารและวิทยาลัยการทัพบก ทัพเรือ ทัพอากาศ ได้ร่วมกันเสนอยุทธศาสตร์ทหาร บรรยายให้นายกฟังด้วย นับเป็นทางการครั้งแรกที่ผู้บริหารสูงสุดของรัฐได้ฟังกรอบแนวทางกำหนดแผนงานการใช้พลังอำนาจแห่งชาติด้านการทหาร ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและรับมือกับภัยคุกคามทุกรูปแบบที่กำลังแปรกระบวนถล่มไทยในรอบ 5 ปีข้างหน้า งานที่ผมมีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยนี้ลงในรายละเอียดของยุทธศาสตร์ทหารเฉพาะ 6 กลุ่มงาน พร้อมด้วยขีดความสามารถที่ต้องการและมาตรการในแต่ละด้าน ตลอดจนโครงสร้างกำลังรบและโครงการต่างๆ แน่นอนว่าเราก็มุ่งหวังให้การป้องกันประเทศ การรักษาความมั่นคงภายใน การรักษาผลประโยชน์โพ้นทะเล การสร้างศักย์สงคราม การปกป้องสถาบันกษัตริย์และการพัฒนาประเทศเป็นไปในทางที่ดียิ่ง ๆ ขึ้นไปเหมือนรุ่นพี่ที่เคยทำยุทธศาสตร์ทหารมาก่อน

วันพุธที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2553

จีน-ญี่ปุ่น ฮึ่มกันอีกแล้ว

ตอนนี้จีนกับญี่ปุ่นกำลังมีปัญหาพิพาทกันถึงขั้นจีนเลื่อนการเยือนระหว่างผู้นำระดับสูงออกไป เพื่อเป็นการให้ความสนใจต่อเรื่องนี้ ผมจึงนำบทความที่เขียนลงคมชัดลึกเมื่อ 30 ส.ค. มาให้อ่านกัน เรื่อง"ปัญหาเกาะน้อยในทะเลจีนใต้มาอีกแล้ว" ครับ

---------------



แม้ว่าจีนกับญี่ปุ่นจะเป็นคู่สัมพันธ์ที่ขาดกันไม่ได้ แต่ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศไม่มีราบรื่นนานเกินไป ปัญหาเก่า ๆ ต้องผุดขึ้นมาสร้างความตึงเครียดทั้งในระดับผู้นำและประชาชนอยู่เสมอ ล่าสุดการจมเรือประมงจีนในน่านน้ำทับซ้อนของญี่ปุ่นก็ก่อให้เกิดความไม่พอใจระหว่างกันขึ้นมาอีก ความรู้สึกชาตินิยมก็จะตามมาหล่อเลี้ยงความขัดแย้งอย่างเป็นเรื่องปกติ แม้ว่าความขัดแย้งในห้วงเวลาจะคลี่คลายไป แต่เมื่อเงื่อนไขพร้อมก็จะดีดกลับขึ้นมาใหม่ เพราะเรื่องอธิปไตยนั้นเป็นสิ่งที่ประเทศในเอเชียยังถือว่าเป็นเรื่องต่อรองกันไม่ได้


หมู่เกาะเตียวหยูในภาษาจีนหรือเซ็นกากุในภาษาญี่ปุ่น เป็นหมู่เกาะที่แทบจะเรียกว่าเป็นแค่โขดหิน กลางทะเลจีนตะวันออก เกาะย่อย ๆ ทั้ง 8 เกาะแทบไม่มีคนอยู่ ทรัพยากรบนเกาะก็ไม่มีอะไร แต่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ต่อจีน ญี่ปุ่น ตลอดจนไต้หวัน เป็นอย่างมาก เพราะใต้น้ำมีก๊าซธรรมชาติอยู่เยอะ ปลาก็มีไม่น้อย ท่สำคัญคือใครครอบครองก็เหมือนได้สิทธิ์จ่อคอหอยฝ่ายอื่น ควบคุมเส้นทางลำเลียงทางทะเลเอาไว้ ดังนั้นกรณ๊เรือประมงจีนถูกเรือตรวจการณ์ญี่ปุ่นจับกุมเมื่อ 7 ก.ย. จึงถือว่าไม่ใช่เรื่องเล็กสำหรับรัฐบาลปักกิ่ง เหมือนเช่นที่รัฐบาลโตเกียวก็กังวลต่อการที่จีนจะขุดเจาะหาก๊าซธรรมชาติในพื้นที่แถวนั้น หรือรัฐบาลไต้หวันประท้วงต่อการที่ญี่ปุ่นจะฝึกร่วมผสมกับสหรัฐ ฯ ในพื้นที่ใกล้กันในเดือน ธ.ค.ที่จะมาถึง


ไม่เหมือนเกาะต๊อกโด/ทาเคชิม่า ที่ญี่ปุ่นค่อนข้างเป็นรองในการพิพาทพรมแดนกับเกาหลีใต้ แต่สำหรับเซ็นกากุแล้ว ทางการญี่ปุ่นให้ความสำคัญเต็มที่ เรือตรวจการณ์จำนวนมากจากโอกินาวาครัดเคร่งต่อปัญหาล้ำแดน แต่ยิ่งนานไปกลับพบความท้าทายจากจีนมีมากขึ้น เนื่องจากจีนก็เชื่อว่าพื้นที่แถบนี้เป็นของตน กอปรกับเทคโนโลยีทางทหารที่ดีขึ้นและการส่งเสริมเชิงกึ่งบูรณาการของจีนต่อเอกชน ทำให้มีข่าวประมง เรือขุดเจาะน้ำมัน หรือแม้แต่ ฮ.ทหาร ของจีนเข้าไปอยู่ในพื้นที่อ่อนไหว ตั้งแตปี 51 จีนได้ส่งเรือตรวจการณ์เข้าไปวนรอบรัศมี 12 ไมล์ของหมู่เกาะ และในปีถัดมาเครื่องบินขับไล่ของทั้งสองชาติถึงขั้นล็อคเป้ากัน เกือบจะด็อกไฟท์กันไปแล้ว


ไม่มีมีทางที่จีนและญี่ปุ่น หรือแม้ไต้หวันที่หากต้องการกันชนทางทางทะเลจะยอมเลิกอ้างสิทธิ์เหนือหมู่เกาะหินตาหินยายแบบนี้ หลักฐานและกฏหมายทางประวัติศาสตร์ที่ต่างอ้างมาใช้ล้วนเขียนขึ้นบนศักดิ์ศรีของบรรพบุรุษ ก็ได้แต่หวังว่าความตึงเครียดรอบใหม่จะคลี่คลายได้ง่ายบนบรรยากาศทางการเมืองและเศรษฐกิจระหว่างสองชาติในปัจจุบันที่ถือได้ว่าดีที่สุดในรอบหลายปีทีเดียว

วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2553

ครบรอบ 4 ปีปฏิวัติ

วันนี้เองครับ

ใครถูกใครผิด ใครยังงมโข่งหรือตาสว่าง ก็ช่างเถอะครับ เพราะนั่นไม่ใช่ข้อเท็จจริงนานแล้ว แต่เป็นความเชื่อที่แบ่งคนเห็นต่างออกไปไกลสุดลิบ

ผมไม่ได้ต้องการให้ทุกฝ่ายปรองดองกัน เพราะใน 4 ปีมันมีอะไรเกิดขึ้นมากจนไม่ใช่แค่จับมือกันแล้วหันมายิ้มให้กันใหม่ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่อยากให้มีผู้สูญเสียถึงขั้นชีวิตอีก เพราะแม้แต่หนึ่งพิการก็มีค่า ไม่ว่าจะเป็นใคร

แล้วผมจะเลือกอะไร

นั่นไม่สำคัญเท่ากับผู้อ่านทุกคนกำลังเลือกอะไร


ต่อให้มีกี่ปรัชญา กี่แนวทาง กี่หลักการความคิดที่ติ๊งขึ้นมาในสมอง อยากทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่มนุษย์แต่ละคนก็ได้ทำแค่อย่างเดียว ในเวลาเดียว นั่นคือสัจธรรม

สิ่งที่แต่ละคนกำลังก้าวเดิน กำลังทำอยู่นี่แหละ คือเหตุที่จะไปสู่ผลในอนาคตข้างหน้าทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นทุกคนล้วนมีส่วนในอนาคตของชาติ ของลูกหลาน ไม่มากก็น้อย


ครบรอบ 4 ปีปฏิวัติที่นำประเทศชาติมาถึงจุดนี้ นำความคิดเรามาถึงจุดนี้ ทำให้สังคมและเศรษฐกิจเป็นไปอย่างนี้นั้นผมไม่มีอะไรจะกล่าวอกมาได้มากกว่าคำว่า

"ลาขาดนะปฏิวัติ ชาตินี้อย่าได้เจอะเจออีกเลย เจ้าประคู้น"

วันอังคารที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2553

กลับมาแล้วครับ

หายไปเกือบ 2 เดือนครับ เนื่องจากต้องทำการบ้านหนัก เป็นช่วงปลายของการศึกษาในวิทยาลัยเสนาธิการทหารครับ

วันที่ 9 นี้จบการศึกษาแล้ว คงมีเวลาว่างมาเขียนบล็อกมากขึ้นครับ

ดึกแล้วครับ ฝนพึ่งหยุดไปเมื่อไม่ถึงชั่วโมงมานี้ ฟ้าคงไม่แจ่มใส เหมือนในใจยังมีอะไรติดอยู่

ใกล้ตุลาแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นบ้างหนอ

วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เรื่องชวนคิดหลังบอลโลก บอลไทย ..พนัน..คนเสื้อแดง

มหกรรมความสุขแห่งมนุษยชาติที่เวียนมาคราวละ 1 เดือน ทุก ๆ 4 ปีจบสิ้นลง เปิดโอกาสให้เรื่องสำคัญซีเรียสอื่น ๆ ได้ยึดพื้นที่คืนไป แม้ว่าฟุตบอลโลกที่คนไทยได้ให้ความสนใจหลังเหตุร้ายยิงกบาลเผาเมืองจบลงหมาด ๆ นั้นจะออกกร่อย ๆ เนื่องจากคนทั้งประเทศยังไม่หายช็อค แต่ก็ยังมีเรื่องชวนคิดต่อได้ เช่น เรื่องของฟุตบอลไทย(อยากไป)บอลโลก การพนันบอลที่ควบคู่กับอาญาเถื่อน หรือสถานการณ์หลังคนเลิกสนใจฟุตบอลแล้ว เป็นต้น


ประเด็นแรกนั้นเป็นประเด็นตรงเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างฟุตบอลโลกกับคนไทยเลยทีเดียว ทุกครั้งที่คนไทยได้ดูคนชาติอื่นไล่เตะลูกหนังท่ามกลางสายตาคนนับร้อยล้านผ่านทางทีวี คนไทยจะอดคิดไม่ได้ว่าเมื่อไรจะถึงทีประเทศที่มีประชากรกว่า 60 ล้านประเทศนี้บ้าง ทีสโลวีเนีย ชาติที่มีประชากรแค่ 2 ล้านหรือชาติยากจนอีกหลายชาติในกาฬทวีปเขายังผ่านรอบคัดเลือกไปแข่งได้ ทีมชาติไทยก็น่าจะมีดีเพียงพอไม่น้อยหน้าญี่ปุ่นหรือเกาหลีใต้บ้าง ยิ่งเกาหลีเหนือ ที่อันดับโลกใน FIFA Ranking ใกล้เคียงกับไทยโชว์เพลงเตะได้แค่ที่เห็น ไทยก็น่าจะผ่านเข้าสู่บอลโลกรอบสุดท้ายปี 2557 ที่บราซิลได้เหมือนกัน


สมาคมฟุตบอลไทยก็คิดเช่นนี้และกำลังเร่งทำความฝันให้เป็นจริง ปัจจัยบวกคือแรงหนุนเชียร์บอลลีกของไทยจากผู้ชมมหาศาลนั้นเป็นปรากฏการณ์ที่ในอดีตไม่เคยมี คนไทยบ้าบอลนอกมานานแล้ว คลั่งหนักเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกเสียด้วย แต่ในอดีตมีไม่กี่คนที่ตามไปดูทีมท้องถิ่นเตะบอลถ้วยหรือทัวร์นาเมนท์ต่าง ๆ แต่วันนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปเข้าสู่ระบบสากล แฟนบอลท้องถิ่นที่ติดตามทีมรักของตนอย่างเป็นรูปธรรมด้วยการซื้อสินค้าที่ระลึก เดินทางซื้อตั๋วตามไปชมทั้งนัดเหย้านัดเยือน มีอารมณ์ร่วมหายใจเข้าออกกับเรื่องราวดารานักบอลนั้นมีมาก ส่งบอลให้สโมสรต่าง ๆ อยู่ได้อย่างแข็งแกร่ง สนับสนุนระบบบอลลีกที่ดึงดูดการสนใจตลอดปีและการจัดหาพัฒนาฝีเท้านักเตะให้เข้าข่ายสากลยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ มองเพียงด้านนี้อนาคตบอลไทยก็เหมือนกับบอลญี่ปุ่นพึ่งพิงความสำเร็จของเจลีก


อย่างไรก็ตาม ปัจจัยลบที่เป็นอุปสรรคขัดขวางก็คือช่วงนี้เป็นช่วงตกต่ำของทีมชาติไทย เอาแค่ตกรอบแรกบอลซีเกมส์และไม่ได้เข้ารอบสุดท้ายเอเชียนเกมส์ ก็เป็นสิ่งที่แฟนบอลรับไม่ได้แล้ว ความตกต่ำดังกล่าวนั้นอาจกล่าวได้ว่ามาจากปัญหาเดิม ๆ เช่นเรื่องของโค้ช การบริหารงานของผู้เกี่ยวข้อง วัฏจักรวงจรฟุตบอลที่ไทยถึงคราวแย่พอดี สภาพเศรษฐกิจสังคมที่มากระทบ หรือแม้กระทั่งชาติอื่นมีพัฒนาการเหนือกว่าเรา ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้ทีมชาติไทยคงฟื้นตัวได้ในอีกไม่นานและเมื่อสมทบกับปัจจัยบวก ไทยก็จะดีขึ้นจนไล่ตามชาติชั้นนำในเอเชียตะวันออกหรือตะวันออกกลางได้ แต่อย่าลืมว่าความสำเร็จของบอลลีกก็อาจนำมาซึ่งข้อจำกัดของทีมชาติได้ เช่น นักเตะถูกบีบให้เห็นความสำคัญของสโมสรก่อนทีมชาติ หรือนักเตะอิมพอร์ตในระดับสโมสรกลายเป็นสาเหตุให้บางตำแหน่งในทีมชาติขาดแคลนนักเตะไทยที่มีความสามารถ เป็นต้น


แต่เรื่องที่น่าห่วงใยจริง ๆ สำหรับหลังบอลโลกก็คือ การพนันบอลกับอาญาเถื่อนที่ตามทวงหนี้ที่เบี้ยวพนันกัน ทุกวันนี้การพนันบอลได้แทรกซึมไปยังหมู่เยาวชนโดยความช่วยเหลือของเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ต หากท่านผู้อ่านเห็นเด็กหนุ่มนั่งเล่นโน้ตบุ๊คอยู่คนเดียวโดยหน้าจอนั้นเป็นเรื่องกลไกยุ่งไปหมด ก็อาจนึกไม่ถึงว่าเขากำลังเล่นพนันบอลทางอินเตอร์เน็ตผ่านโค้ดของเว็บไซต์สากลที่ไม่รู้จะบล็อกยังไง เขาสามารถเล่นพนันบอลทุกทวีปของโลก (หรืออาจรวมทั้งกีฬาประเภทอื่น)โดยรับรู้ผลและแต้มต่อแบบ real time สามารถส่งโพยหรือเฉลี่ยความเสี่ยง กินค่าน้ำ ทางเน็ทอย่างที่คนภายนอกไม่เข้าใจ โลกของการพนันออนไลน์นั้นกำลังเข้ามาเปลี่ยนชีวิตของเยาวชนผู้ติดกับอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ขณะที่การจับโต๊ะพนันพร้อมโพยกระดาษกับเงินสดนั้นเป็นแค่ tip of iceberg


ท่ามกลางความรวดเร็วและปริมาณการแทงบอลที่พัฒนากันอย่างปีศาจ การใช้กำลังเข้าคุกคามทวงหนี้ถึงเลือดถึงชีวิตนั้นคือยมทูตโลกันต์ที่ทางรัฐยังเอาชนะไม่ได้ และคงต้องไล่ตามการปิดบัญชีด้วยปากกระบอกปืนแบบนี้ไปอีกนาน ถ้าไม่สามารถหาระบบทำให้พวกเจ้าพ่อพ้นจากขุมนรกใต้ดิน ช่วงปลายบอลโลกอย่างเวลานี้เป็นห้วงเวลาที่คนแทงหนักขึ้นตามความสนุกของบรรยากาศ ความดังของคู่แข่งขัน และการอยากได้เงินคืนหลังจากเสียไปมากแล้ว กว่าจะพบตัวเองว่าเป็นหนี้ล้นพ้นจนจ่ายไม่ไหวบอลโลกก็จบพอดี พวกที่ไม่ใช่นักพนันมืออาชีพอาจอยู่ไม่ถึงบอลลีกยุโรปที่จะเริ่มแข่งในเดือนหน้า แก๊งค์ทวงหนี้จะออกฆ่าตามใบสั่ง ที่ต้องแรงกับนักพนันบางรายก็เพราะเป็นการเชือดไก่ให้ลิงหนี้สูงดู


รัฐกำลังมีเรื่องอื่นวิตกมากกว่าปัญหาคนเล่นพนันฆ่ากันเอง เทศกาลบอลโลกซึ่งถือว่าเป็นห้วงเวลาหย่าศึกอย่างไม่เป็นทางการกำลังจบลง พร้อมกับลมหายใจของ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ที่กำลังจะขาดห้วงเพราะทนแรงเสียดสีจากภาคเศรษฐกิจไม่ไหว ฝ่ายความมั่นคงคาดการณ์ว่าฝ่ายใต้ดินเสื้อแดงบางพวกคงตอบโต้ด้วยกำลังกับเป้าหมายเปิดทั้งเป้าหมายสาธารณะและเป้าหมายบุคคลเสื้อเหลือง การตอบโต้เช่นนี้อาจสร้างความหวาดผวาให้กับสังคมโดยรวม จึงต้องดำเนินการ”กระชับ” เสื้อแดงให้หนักหน่วงขึ้นด้วยวิธีการต่าง ๆ สถานการณ์จริงจะเป็นเช่นไรนั้นยังบอกไม่ได้ ฝ่ายเสื้อแดงอาจจะมีขีดความสามารถหรือใช้ขีดความสามารถนั้นจริงอย่างที่ฝ่ายรัฐคาดการณ์ หรือพวกเขาเป็นเพียงผู้ถูกใส่ร้าย แต่ที่แน่ ๆ คือ พวกเขากำลังจะได้โอกาสเคลื่อนไหวมากขึ้น เนื่องจากความสนใจของมหาชนกลับมาสู่ประเด็นทางการเมืองอีกครั้ง ความขัดแย้งระหว่างการรุกหนักของรัฐกับการฟื้นตัวของเสื้อแดงท่ามกลางความอาฆาต จะนำไปสู่ความไร้เสถียรภาพของทุกพลังอำนาจของชาติอย่างเห็นได้ชัด เหมือนที่เคยเห็นกันมาก่อนช่วงบอลโลก


ความบันเทิงจากฟุตบอลโลกกำลังบลง ผู้คนกลับสู่โลกของความเป็นจริงที่ยังหาทางออกของวิกฤตการเมืองที่ส่งผลต่อด้านอื่นของสังคมไม่ได้ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ตระหนักว่าถ้าโอกาสอำนวยหรือตนเองหันไปสนใจกับเรื่องอื่นที่ตนไม่เกี่ยวข้องโดยตรง พวกเขาก็จะมีความสุขสัมพัทธ์ได้ ส่วนการแก้ไขปัญหาในภาพรวมนั้นอยู่นอกเหนือวิสัยและขีดความสามารถของคนที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงอย่างพวกเขา



ทัศนะวิจารณ์ 30 มิ.ย.

วันอังคารที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2553

FIFA World Cup กับการเมืองโลก

ไม่มีมหกรรมอะไรสักอย่างหนึ่งที่จะดึงดูดความสนใจของทั้งโลกให้หยุดเพื่อเฝ้าติดตามกิจกรรมนั้นได้เท่ากับการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ที่จะจัดขึ้นเป็นเวลา 1 เดือนของทุก ๆ 4 ปี การชุมนุมระหว่างประเทศอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น โอลิมปิก เอ็กซ์โป โนเบล หรือการประชุมระดับสุดยอดผู้นำโลกทั้งหลายก็ไม่เคยเรียกความสนใจในระดับที่เท่ากับรายการนี้ที่เวียนมาถึงอีกแล้วระหว่าง 11 มิ.ย.-11 ก.ค.53 ยิ่งไปกว่านั้น บ่อยครั้งการเมืองโลกก็ได้อาศัยความสนใจของประชาชนที่มีต่อการเตะลูกหนังไปในทางเอื้อประโยชน์แก่ชาติต่าง ๆ เช่นการโฆษณาชวนเชื่อ การจัดการปัญหาความสัมพันธ์กับชาติศัตรู หรือการยกระดับสถานการณ์ภายในประเทศ


ในอดีตมีตัวอย่างแสดงความจงใจของผู้นำชาติเผด็จการหลายชาติที่ใช้เวทีเวิลด์คัพสร้างความชอบธรรมให้ระบอบของตน ที่เด่นชัดที่สุดคือระบอบเผด็จการทหารของเบนิโต มุสโสลินี ที่ทำให้อิตาลีครองแชมป์บอลโลกยุคเเรก ๆ ถึง 2 สมัยซ้อนปี 1934 และ 38 ปลุกกระเเสรักชาติรักฟาสซิสท์เต็มที่

ยุครัฐบาลทหารของอาร์เจนติน่าช่วงทศวรรษ 70 ก็เช่นกัน โดยเฉพาะนายพลฮอร์เก้ วิเดล่าประธานาธิบดีที่ผลักดันให้ประเทศเป็นเจ้าภาพบอลโลกปี 1978 และทำทุกวิถีทางเพื่อให้ทีมฟ้า-ขาวชนะเลิศในปีนั้น นับเป็นการสร้างศรัทธามหาศาลแก่มวลชนฝ่ายขวาให้หนุนหลังระบอบนี้ให้อยู่ยาวนาน


ในยุคใหม่ ชาติใดได้จัดเวิลด์คัพรอบสุดท้ายนับเป็นการยกระดับตนเองในเวทีระหว่างประเทศอีกขั้น แอฟริกาใต้และบราซิลในปี 2010 และ 2014 จะแสดงให้เห็นถึงมาตรฐานนั้น ญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้เคยแสดงให้เห็นถึงการแข่งขันกันในทีจากการเป็นเจ้าภาพร่วมในปี 2002 ความเหนือกว่าในเชิงบอลของโสมขาวตอกย้ำการแก้ปมในใจของคนเกาหลีให้ตระหนักใหม่ว่ายุคนี้เกาหลีล้ำหน้าญี่ปุ่นไปเกือบทุกเรื่องแล้ว


การแข่งขันระหว่างทีมชาติที่มีฉากหลังเป็นคู่ขัดแย้งทางการเมืองยิ่งดึงดูดการจับจ้องจากประชาชนทั้งโลก คู่ที่ดัง ๆในอดีต มีอาทิ เช่น การเตะรอบแรกบอลโลกปี 1974 ซึ่งเยอรมันตะวันออกและตะวันตกมาเจอกันโดยฝ่ายหลังเป็นเจ้าภาพแต่ดันแพ้ 0-1 เสียนี่ ชัยชนะของโลกคอมมิวนิสต์ต่อทุนนิยมในครั้งนั้นถูกนำไปโฆษณาถึงความเหนือกว่าของระบอบแดงอยู่นาน

การดวลแข้งรอบ 8 ทีมสุดท้ายระหว่างอังกฤษกับอาร์เจนติน่าเมื่อปี 1986 ก็สำคัญ เพราะเป็นการล้างตาสงครามฟอล์กแลนด์ที่อังกฤษพิชิตอาร์เจนติน่าอย่างยับเยินเมื่อ 4 ปีก่อน ผลบอลออกมาในเชิงตอกย้ำความสัมพันธ์ที่เสื่อมทรามเมื่ออาร์เจนติน่าชัยชนะด้วย”หัตถ์พระเจ้า”ของดีเอโก้ มาราโดน่า

ปีนี้เกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้เข้าสู่รอบสุดท้ายพร้อมกันเป็นครั้งแรก แต่โอกาสพบกันกลางสนามแทบไม่มี เว้นแต่จะถึงรอบรองชนะเลิศกันทั้งคู่ (ซึ่งก็ร่วงไปหมดแล้วตามคาด)

วันพฤหัสบดีที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2553

อนาคตของกองทัพอยู่ที่อุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ

การที่กองทัพไทยซึ่งเป็นกองทัพอันดับ 2 ของเอเชียเมื่อประมาณ 80 ปีก่อน ค่อย ๆ ลดทอนลงมาจนต้องถูกกองทัพท้ายแถวอย่างกัมพูชาท้าทายทุกวันนี้ ได้กล่าวไปแล้วในบทก่อนว่าเกิดจากความชะงักงันของอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ในด้านอาวุธชั้นสูงนั้นเราเลิกซื้อลิขสิทธิ์เครื่องบินมาสร้างเอง ทั้งที่เครื่องบินแบบคอร์แซร์และฮ็อกพับ เวอร์ชั่นไทยทำนั้นฉกาจขนาดไล่โจมตีฝรั่งเศสในสงครามอินโดจีนโงหัวไม่ขึ้นมาแล้ว

ในรอบ 60 ปีมานี้ เราหันไปจัดหาแบบซื้อจากชาติตะวันตกเป็นหลัก โดยไม่ต้องถ่ายทอดเทคโนโลยีกันเสียด้วย ทำให้กองทัพไทยไม่สามารถทะลุกรอบปัญญาประดิษฐ์ สร้างอาวุธเทคโนโลยีสูงเองแบบอินเดียหรือจีนไม่ได้ ขณะที่อาวุธชั้นรองเช่นปืนเล็ก กระสุน ระเบิด เราก็ทำได้ในระดับหนึ่ง วิจัยมาก็ยังต้องรอตรวจนั่น ประเมินนี่ ไป ๆ มา ๆ ก็อยู่ในหิ้งหนังสือเป็นส่วนใหญ่ ซื้อต่างชาติเอาง่ายกว่า


นอกเหนือจากการติดกับต่างชาติ ที่ต้องซื้อของจากฝรั่งและจีนกันไม่หยุดหย่อนแล้ว กระบวนการเอื้อประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมป้องกันประเทศของไทยยังมีปัญหา เช่น ในทางกฏหมาย พ.ร.บ.ด้านนี้ยังไม่ออกมา จึงยังไม่รู้ทิศทางอย่างเป็นทางการว่าเราจะดำเนินไปอย่างไร

จริง ๆ แล้วผู้ใหญ่ก็พึ่งกำหนดนโยบายด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศไปเมื่อ ธ.ค.52 นี้เอง กว่าจะกลไกทุกอย่างจะเดินเครื่องและเห็นผลสำเร็จก็คงต้องใช้เวลาอีกนาน แล้วจะทันกับชาติเพื่อนบ้านที่เร่งเครื่องอุตสาหกรรมชนิดนี้ไปนานแล้วหรือไม่


ขณะที่ไทยยังไม่ชัดเจนว่าเอกชนจะเข้ามาร่วมมือพัฒนาการสร้างยุทโธปกรณ์และยุทธปัจจัยได้ขนาดไหน กองทัพเรือยังพิจารณาดินขับจรวดที่สร้างเองว่าจะเวิร์คหรือไม่ และปืนใหญ่ต้นแบบที่กองทัพจัดสร้างยังไม่ขึ้นประจำการ ชาติอย่างเวียดนามและมาเลเซีย ก็พากันพัฒนายุทโธปกรณ์ของตนไปลิ่ว ไม่ต้องพูดถึงสิงคโปร์ ถึงวันนี้แม้ว่าพวกเขาจะยังคงต้องซื้อหาอาวุธต่างชาติอยู่ แต่ก็ไปได้ไกล ที่เวียดนามนั้นมีการจัดตั้งวิสาหกิจของทุกกองพล กรมการอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของอดีตชาติที่พึ่งพาแต่อาวุธโซเวียต บัดนี้ร่วมลงทุนกับเอกชนทั้งในและนอกประเทศ ในด้านสื่อสาร ต่อเรือ การบินและสื่อสาร ไม่เว้นแม้แต่ด้านที่มิใช่การรบเช่นรองเท้า


ความจริงโครงสร้างของอุตสาหกรรมและพลังงานของกองทัพไทยนั้นไม่เลวเลย ในทางทฤษฎีเรายังกุม สป.ของเราเองไว้ได้ ไม่ว่าจะเป็นเภสัชกรรม พลังงาน กระสุน อาวุธ ปิโตรเลียมหรือสื่อสาร กองทัพมีหน่วยงานวิจัยและผลิตไม่น้อย ขอให้กองทัพกำหนดนโยบายให้ชัดเจน ทุ่มเทงบประมาณด้านวิจัยลงมา ส่งเสริมบุคลากรอันทรงคุณค่า ผลักดันงานวิจัยให้กลายเป็นจริง นำผลผลิตแบบไทยทำประจำการบรรจุแทนการจัดหาจากต่างชาติ ร่วมทุนเอกชนแบบเดินหน้าเปิดหลากหลายพรมแดนข่ายงาน หาทางให้ได้ลิขสิทธิ์และเทคโนโลยีชั้นนำมาผลิตเอง ถ้าทำเช่นนี้ได้ อนาคตก็พอมองเห็นครับ


คมชัดลึก 3 กุมภาพันธ์ ปีนี้

วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2553

พึ่งกลับมาจากดูงานญี่ปุ่น-เกาหลี-จีน

ป่วยเลยครับ หวัดปักกิ่งแรงจริง ๆ กลับมาได้สัปดาห์นึงแล้ว พึ่งหายนี่แหละครับ

ได้มีโอกาสร่วมคณะไปดูงาน 3 ประเทศ 11 วัน ล้วนแต่มีประโยชน์ทั้งนั้น เช่น

ญี่ปุ่น --- เที่ยวสวนสนุกยูนิเวอร์แซล ( อันนี้เป็นสนองความสนุกของตนเอง )
---- ชมพิพิธภัณฑ์ปราสาทโอซาก้า (เข้าใจญี่ปุ่นยุคโทโยโทมิ-โตกุกาวามากขึ้น)
---- ชมศูนย์แผ่นดินไหวโกเบ .. ได้รับรู้การจัดการภัยพิบัติขนาดใหญ่ (นำมาเขียนลงกรุงเทพธุรกิจด้วย)
---- อะควาเรียมโอซากา (ได้ชมแหล่งสดงสัตว์ทะเลที่ใหญ่ที่สุดของเอเชีย)
....... กงสุลไทยประจำโอซาก้า (ได้รับทราบโอกาสใหม่ ๆ ของไทยในญี่ปุ่น)
....... วัดคินคาคุจิ วัดคิโยมิตสึ ศาสลเจ้าฟูชิมิอินาริ (สถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมเก่าแก่ของเกียวโต )

โซล --- โซลทาวเวอร์ (หอคอยสูงชมวิว ที่น่าสนใจคือพิพิธภัณฑ์เท็ดดี้แบร์ นำเอาประวัติศาสตร์ชาติเกาหลีมาถ่ายทอดในรูปแบบหมีอย่างน่าทึ่ง)
---- ปันมุมจอม เส้นขนานที่ 38 (ชมบรรยากาศจริงความตึงเครียดสองเกาหลี เข้าชมอุโมงค์ลับเกาหลีเหนือ นำมาเขียนลงคมชัดลึกแล้ว)
---- พิพิธภัณ์ฑ์สงครามแห่งชาติเกาหลี ( วางพวงมาลาทหารไทยไปรบเกาหลี ชมการแสดงครบรอบหยุดยิงสงครามเกาหลี 50 ปี)
-- พระราชวังเคียงบ๊กกุงและพิพิธภัณฑ์ (หาความรู้ประวัติศาสตร์โบราณเกาหลี)
--- อาคารซัมซุง (นวัตกรรมใหม่โลกอนาคต)


ปักกิ่ง ... สถานทูตไทยประจำปักกิ่ง (ได้รับความรู้ชั้นเลิศจากท่านอัครราชทูต)
.... พระราชวังต้องห้าม+จตุรัสเทียนอันเหมิน (ความยิ่งใหญ่ของเมืองจีน)
...กำแพงเมืองจีนด่านจูหย่งกวน (ด่านใหม่ คนไม่พลุกพล่าน)
... วัดลามะหย่งเหอกง (ได้ไหว้พระ ขณะมีพิธีกรรมพอดี)
...พิพิธภัณฑ์ปักกิ่ง (โบราณวัตถุจีน 5000 ปีอยู่ที่นี่)


ผมจะพยายามถ่ายทอดความรู้ที่ได้รับ มาปรับใช้กับงานต่อไปครับ

วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เสธ.แดงเสียชีวิตแล้ว

หนึ่งชั่วโมงก่อน พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง นายทหารคนดังที่มีชีวิตน่าตื่นเต้นได้จากโลกนี้ไป แต่ความเป็นไอคอนของเขาได้ทำให้ผู้ดำเนินรอยตามหรือสาวกกลุ่มอ้างอิงยังเชิดชูและปฏิบัติตามอย่างเขาอยู่ นี่คือปรากฏการณ์ในลักษณะผู้นำลัทธิหรือจิตวิญญาณที่เกิดผลในทางปฏิบัติอย่างหายากยิ่งในสังคมไทย การกำหราบแนวความคิดแบบเสธ.แดง เป็นเรื่องยากในยุคที่การแพร่กระจายข่าวสารเป็นสรณะ หลักการมีอายุยืนยาวกว่าชีวิตของคนสร้างหลักการ


แม้ความรู้สึกในหมู่ประชาชนต่อเสธ.แดงจะเป็นเชิงโต้แย้ง (Controvertial) ซึ่งถ้าไม่เกลียดไปเลยก็มักจะรักอย่างสุดใจ แบบเดียวกับความรู้สึกที่มีต่ออดีตนายกทักษิณ ชินวัตร และสนธิ ลิ้มทองกุล แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าในหมู่คนที่รักเสธ.แดงนั้นมีปริมาณไม่น้อย พวกเขาไม่ได้รักเพราะเสธ.แดง เป็นคนยิ่งใหญ่ มีอิทธิพล พวกพ้องมาก เงินทองมาก หรือมีบุคลิกน่ารักแต่อย่างใด แต่ในความไม่เหมือนใครของเสธ.แดง อัตลักษณ์บางอย่างของเขาเป็นอัตลักษณ์ในเชิงอุดมคติที่หายไปจากวิถีชีวิตทั่ว ๆ ไปนานแล้ว หรืออย่างน้อยก็ไม่ค่อยปรากฏที่ไหน นอกจากในเสธ.แดง ซึ่งเก่งในการนำอัตลักษณ์เด่นนั้นมารังสรรค์ภาพลักษณ์ของตัวเองให้ต้องใจกลุ่มเป้าหมายเฉพาะด้วยรูปแบบการประชาสัมพันธ์ที่เก่งขั้นเทพ


เสธ.แดงนำประสบการณ์การรบที่มีมาแปรเปลี่ยนเป็นคุณค่ายึดถือให้สาวกเลื่อมใสตามได้อย่างเยี่ยมยอด ลำพังความสามารถด้านการเขียน การพูด นั้นลำพังไม่พอที่จะทำให้บุคคลยอมอุทิศตนให้อย่างสุดจิตสุดใจ แต่การแสดงออกว่าตนเองมีชีวิตที่ไม่เหมือนนายพลคนอื่นอย่างไร และมีความมุ่งมั่นทำตามหลักการของตัวเพียงไรต่างหากที่ทำให้เป็นที่น่านับถือในหมู่สาวก ดังนั้นเจตจำนงของเสธ.แดงจึงมีชีวิตยืนยาวกว่าตัวเสธ.แดง

คนธรรมดาที่เลื่อมใสชีวิตแบบเสธ.แดงนั้นจะไม่สนว่าเสธ.แดงอยู่หรือตาย แต่พวกเขาจะยึดอุดมการณ์ตามแบบเสธ.แดง คือเป็นคนธรรมดาที่พร้อมจะแสดงออกอย่างตรง ๆ อาจดิบเถื่อนบ้าง แต่แฝงความมุ่งมั่นเพื่อเอาชนะเป้าหมายที่แข็งแกร่งกว่าโดยไม่หวั่นว่าจะต้องเผชิญอุปสรรคอย่างไร เราได้เห็นกันแล้วหลังจากวันที่เสธ.แดงถูกยิง และคงได้เห็นปรากฏการณ์แบบนี้ไปอีกระยะเวลาหนึ่ง การตายแบบไม่ปกติยิ่งยกระดับเขาเป็นไอคอน ซึ่งจะต่ออายุปรากฏการณ์ให้ยาวออกไปอีกมาก


การมุ่งกวาดล้างเครือข่ายเสธ.แดงนั้นผิดทิศ เพราะไม่มีเครือข่ายลูกสมุนอย่างที่หลายคนคาด มีแต่กลุ่มอ้างอิงซึ่งจะขจัดความเชื่อของพวกเขานั้นยิ่งเป็นไปไม่ได้ในยุคโลกาภิวัตน์ หนทางดีที่สุดคือเลือกเชิดชูหลักการที่ดีงามของเขาให้ข่มทับหลักการส่วนที่ไม่ดี และแก้ไขปัญหาสังคมที่เสธ.แดงตั้งหวังไว้ โดยเฉพาะการแก้ปัญหาเพื่อมวลชนอย่างแท้จริง อย่างเช่นประเด็นมาตรฐานกระบวนการยุติธรรม


-----------------

กราบลาคุณอาในที่นี้ด้วยครับ

วันเสาร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เห็นทีทหารบกจะเดินถนน ด้วยอาการเดิมไม่ได้อีกต่อไป

ช่วงนี้ไม่อยากเขียนบล็อกเลยครับ เศร้าใจกับความตายความเจ็บของเพื่อนประชาชนร่วมชาติที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นทุกวัน หากสถานการณ์ยังยิงกันไม่หยุดอย่างนี้ เมื่อเรื่องจบ ตัวนำของฝ่ายพ่ายแพ้รับรองถ้าไม่ถูกฆ่า ก็ต้องขึ้นโรงขึ้นศาลไปตลอดชีวิต แต่ที่ต้องโดนไปด้วยไม่ว่าจะแพ้หรือชนะก็คือ ทหาร โดยเฉพาะทหารบก


ปกติ ทหารบกก็คือประชาชน ใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดา แต่งครึ่งท่อนบ้าง ซาฟารีบ้าง เต็มยศบ้าง เดินห้าง ดูหนัง พักผ่อน กินข้าวข้างข้างถนน หรือขับรถไปส่งลูก ในห้วงเวลาที่สมควรเหมือนคนทั่วไป

แต่นับจากวันที่ 14 พ.ค.ทุกอย่างไม่น่าเหมือนเดิมอีกแล้ว

หากเขาแต่งดังว่า เดินเดี่ยวหรือเดินกับลูกเมีย ก็อาจมีคนบางกลุ่มเอาดอกไม้หรือรอยยิ้มมามอบให้ แสดงการชื่นชม อันนี้ไม่เป็นไร แต่อีกนาทีเดียว อาจมีคนอีกกลุ่มเข้ามาด่าทอ ต่อว่า หรือทำร้ายเอาโดยไม่แยกแยะก็ได้


ข้อหาฆ่าประชาชนเมื่อปี 35 ทำให้ทหารอยู่ในสภาพอย่างนี้เกือบครึ่งปี นี่เหตุการณ์วันที่ 10 เม.ษ.ยังไม่สะเด็ด ก็มีเหตุการณ์นี้อีกแล้ว และถ้ามีเหตุการณ์ต่อเนื่อง พวกเขาจะอยู่แบบไหน


อยู่แบบไหนก็ต้องอยู่ครับ และถ้ายังมีจิตใจ ก็ต้องอยู่แบบรู้สึกผิดที่ตัวเองหรือเพื่อนทหารมีส่วนทำให้มีคนตายมากมาย จะอ้างว่าผู้ชุมนุมส่วนหนึ่งเป็นผู้ก่อการร้าย มีอาวุธ จำเป็นต้องฆ่า ก็เชิญเถอะครับ แต่ก็ต้องยอมรับความจริงเหมือนกันว่าแต่ละศพประชาชนที่ตายนั้น ล้วนแต่มีภาพให้เห็นว่า..ไม่มีอาวุธเลย

วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2553

คำถามที่ถูกถามบ่อยที่สุด

เดี๋ยวนี้ไปไหนมาไหน ผมมักจะได้รับคำถามประเภทที่ว่า "ความขัดแย้งในสังคมไทยนี้มันจะจบยังไง" "ฝ่ายแดงจะแพ้หรือไม่" หรือว่า "คนจะต้องตายกันอีกเยอะเลยหรือ" ขอเอามาตอบรวม ๆ นะที่นี้เลยครับ


1.จบยังไงไม่รู้ รู้แต่ว่าอีกนานครับ เป็นสิบปีทีเดียว เพราะคู่ขัดแย้งไม่ได้อยู่แยกกันแบบยุคคอมมิวนิสต์ แต่อยู่ปนกันไปทุกที่ มีวิถีชีวิตคล้ายกัน เป็นเพื่อนกันก็มี แค่นี้จะเอาชนะหรือเปลี่ยนใจกันก็ยากแล้ว ในโลกที่ข่าวสารมากมาย ความเชื่อของคนยิ่งแตกต่าง ไม่รู้เหมือนกันว่าจะบังคับหรือชักจูงให้คนเชื่อตามฝ่ายตนได้อย่างไร เพราะคนเขาฉลาดทันกันแล้ว

2.ยุทธบริเวณที่ราชประสงค์นั้นรบกันจริง ๆ เสื้อแดงคงสู้ไม่ไหวครับ เพราะทหารมีอาวุธหนักกว่ามาก เว้นเสียแต่กองกำลังไม่ทราบฝ่ายจะก่อกวนทหารทางด้านหลังแบบขนมชั้น ทำให้ทหารต้องตัดสินใจหยุดการสลายไว้ก่อน

3.แต่อุดมการณ์แดงนั้นกระจายไปทั่วประเทศแล้ว เลยยังไม่แพ้สงคราม หากโดนสลายเขาก็ลงดิน คนมีอุดมการณ์แรงกล้าไม่กี่พันคนก็สู้กับอำนาจรัฐได้แล้ว นี่ยังไม่รวมแนวร่วมมวลชนมหาศาล ในจังหวัดชายแดนภาคใต้มีสัดส่วนน้อยกว่านี้เสียอีกนี่ผ่านมาหลายปีแล้ว สถานการณ์ยังไม่มีทีท่าว่าจะยุติ

4.ทักษิณหรือเสธ.แดงตายก็หยุดอุดมการณ์นี้ไม่ได้ เพราะเรื่องนี้มันไกลกว่าตัวบุคคล ไกลกว่าท่อน้ำเลี้ยงไปแล้ว จริงอยู่ว่าหากแกนนำถูกจับ การนำ การสั่งการ และกลไกอื่น ๆ ย่อมต้องสะดุด น่าจะคล้ายกับเมษาปีกลาย แต่ไม่นานก็ก่อรูปมาได้ใหม่ เนื่องจากเงื่อนไขยังอยู่

5.แล้วจะแก้ไขยังไงจึงจะจบให้สวย... เรื่องนี้ต้องมองให้ไกลกว่าเรื่องทางนิติศาสตร์ หรือ"ถูกใจถือว่าไม่ผิดกฏ แต่ผิดใจก็เปิดกฏ(กะจะเล่นงานมัน) เพราะถ้าไม่งั้นก็ไม่มีโอกาสเลย ขนาดทำอย่างนี้ยังไม่รู้เลยว่าจะจบยังไง ตามข้อ 1 ที่ว่าไว้

6.แล้วเราควรทำตัวยังไง... ปกติท่านทำตัวยังไงล่ะครับ ทุกคนที่ทำตัวอยู่นี้หรือแค่คิดเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็มีส่วนในปัญหาที่เราเผชิญอยุ่ทั้งสิ้น รวมทั้งความคิดแบบว่า "ฉันถูกหรือฉันอยู่เฉย ๆ แกสิผิด" ด้วย ทางแก้นั้นเหลือวิสัยสำหรับคนธรรมดา (ไม่ว่าเชียร์ฝ่ายไหน) ที่ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวโดยตรงกับเกมต่อสู้คราวนี้ เพราะท่านพอจะสามารถควบคุมตัวเอง แต่ไม่มีทางควบคุมสถานการณ์ได้เลย คำแนะนำที่ดีที่สุดก็คือ เป็นอย่างที่เป็น ทำอย่างที่ทำนั่นแหละครับ แต่เผื่อหนทางรับแรงกระแทกผลกระทบในด้านต่าง ๆ ที่จะมีต่อท่าน ครอบครัวและเพื่อนฝูงเอาไว้ด้วย ซึ่งตรงนี้แต่ละคนมีหนทางเหมาะสมต่างกัน

วันจันทร์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2553

ว่าด้วยการยึดพื้นที่คืนวันที่ 10 เมษาโศก

พึ่งกลับมาจากงานศพ พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม รอง เสธ. พล ร.2 เพื่อนเซ็นต์คาเบรียลตั้งแต่ ป.1 ด้วยกัน เลยมีอารมณ์จะเขียนบล็อกในมุมมองของผมว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อ 10 เม.ย. ที่ผ่านมา

1.ขอให้คนตายทุกฝ่าย ทั้งเสื้อแดง ทหาร และสื่อมวลชน จงไปสู่สุคติ ภาระหน้าที่ในโลกนี้ของพวกท่านจบลงแล้ว กรรมจะเป็นผู้ชี้ความยุติธรรมในโอกาสต่อไป

2.กองทัพวางแผนผิดพลาดในการบุก แทนที่จะใช้กำลังเวลาสว่างในที่เปิดหัวถนน ดันเคลื่อนกำลังพลเข้าช่องแคบในซอยที่มีตึกสูง โอกาสถูกรุมทำลายมีมาก ที่เป็นเช่นนี้ต้องโทษ"คนหน้าหล่อใจดำ" ที่สั่งให้ยึดพื้นที่ให้ได้ แม้ว่าจะมืดแล้วก็ตาม ผลเลยสูญเสียด้วยอาวุธหนักอย่างที่เห็น

3.การตัดสัญญาณพีเพิลเเชลเเนลไม่ทำให้ช่องทางสื่อสารของเสื้อแดงลดลงเลย ความจริง TV ยุคนี้ไม่ได้มีค่าเเค่สื่อสาร แต่มีค่าในเชิง"ปฏิบัติการข่าวสาร" (Information Operation) ซะมากกว่า ในเมื่อตัดการสื่อสารไม่ได้ เมื่อมีการพยายามปราบผู้ชุมนุม ผู้ชุมนุมจึงระดมกำลังมาได้รวดเร็ว หน่วยปฏิบัติการพิเศษที่ใช้อาวุธจึงมาทัน 1 ทุ่มของคืนนั้น

4.พลเรือนตาย 16 คนด้วยอำนาจกระสุน M-16 เป็นหลัก รัฐบาลพยายามขอให้ประชาชนเชื่อว่า เสื้อแดงยิงกันเอง ทหารไม่ใช้อาวุธสงคราม แต่คนเสื้อแดงไม่มีวันเชื่อหรอก และพวกเขาจะล้างแค้นด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง ดังนั้นข้อเสนอที่ให้อภิสิทธิ์ห่วงความปลอดภับลูกเมียตนเอง ออกนอกประเทศไปซะ จึงสมเหตุสมผลยิ่ง

5.กองกำลังติดอาวูธที่มาช่วยเสื้อแดงจะเป็นกองกำลัง trackII ของทักษิณ หรือเป็นมือที่ 3 นั้นไม่สามารถรู้ได้เวลานี้ แต่ถ้าถามว่ามีความชอบธรรมในการใช้อาวุธไหม คนเสื้อแดงจะไล่ให้คนถามย้อนไปอ่านข้อ 4 อย่าลืมว่าเมื่อการปะทะเกิดขึ้น ฝ่ายหนึ่งใช้กำลัง อีกฝ่ายถ้าไม่ยอมแพ้ ก็ต้องสู้ด้วยกำลังทุกอย่างที่มี


6.การที่กองทัพสั่งการให้ พล.ร.2 ออกศึก นั้นมีนัยสำคัญ เพราะกองพลนี้มีประวัติในการปราบเสื้อแดงปีกลาย ในขณะที่หน่วยอื่นไม่กล้าใช้กำลัง ดังนั้น เมื่อฝ่ายกองกำลังติดอาวุธใช้ M-79 ยิงเข้าเต๊นท์ผู้บังคับบัญชา ซึ่งเป็นจุดศูนย์ดุลทางยุทธวิธิ ( Tactical Center of Gravity) ทำให้ผู้บังคับบัญชาเจ็บตายยกแผง ทหารที่เหลืออยู่จึงทำการรบต่อไม่ได้ ต้องล่าถอยนำคนเจ็บระดับ ผบ.กลับก่อน

7.ถ้ากองพลที่ร่นถอยไม่ใช่ พล.ร.2 มีหวังไม่เกินครึ่ง ชม. กำลังระลอก 2 ของกองทัพออกมารบด้วยอาวุธหนักกว่าเดิมแน่ แต่พอหมดกองพลนี้ก็หมดตัว ศอฉ.จึงออกมาขอหย่าศึก และในเมื่อไม่มีกำลังที่จะกล้ายึดพื้นที่โดยใช้กำลังแบบ พล.ร 2 อีก กองทัพเลยขอกลับกรมกองในวันถัดมา เลิกคิดสลายชุมนุม แม้ว่าอภิสิทธิ์จะอยากทำต่อ

8.ในคืนนั้นฝ่ายเสื้อแดงไม่รู้ความจริงว่าทหารที่เจ็บตายคือใคร มีความสำคัญอย่างไร จึงยอมรับการหย่าศึก ที่ไม่รู้เพราะกองทัพปิดข้อมุลรายชื่อการสูญเสียกำลังพลไว้ 1 คืน นี่ถ้าเสื้อแดงรู้ว่าพล ร.2 สุญเสียขนาดนี้ เสื้อแดงอาจลุยต่อที่ ราบ 11 ทุกอย่างจบลงคืนนั้นก็ได้ ในเมื่อคืนนั้นไม่รู้ เลยเกรงเจอกำลังระลอกสองของฝ่ายทหาร

9.โอกาสที่จะเกิดการสลายม็อบนั้นยาก ยังไงรัฐบาลคงต้องยุบสภาแน่ คนตายมากขนาดนี้อยู่ไปได้ไม่นานหรอก แต่ที่น่ากลัวคือ การลอบสังหารจะเกิดขึ้น ฝ่ายกองกำลังติดอาวุธยังมีเสรีในการปฏิบัติ เสื้อแดงที่โกรธแค้นมีอาวุธหลายหลาก ปืนกลรถสายพานลำเลียงพลยังมีเลย M-16 อีกเป็นร้อย ของที่ยึดได้พวกนี้คืนให้รัฐไม่ครบแน่ พวกเสื้อเหลืองต้องระวังให้ดี ในยามที่ดูเหมือนจะสงบ ขณะที่ฝ่ายบูรพาพยัคฆ์ก็คงล้างแค้นในทางลับต่อพวกกองกำลังติดอาวุธ



จบตอนแค่นี้ก่อน

วันอังคารที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2553

ในห้วงวันรณรงค์ ..ขอให้ทุกคนปลอดภัย

ประเทศชาติกำลังเดินมายังจุดที่เปลี่ยนผ่าน (transition) อีกครั้งหนึ่ง ในห้วงตั้งแต่ 12 มี.ค.นี้เป็นต้นไป


ไม่ขอทำนายว่าใครจะชนะแพ้ ใครจะได้รับผลกระทบทั้งชีวิต ทรัพย์สินและจิตใจอะไรบ้าง แต่ขอเอาใจช่วย "คนธรรมดา" ของทั้งสองฝ่าย


เอาใจช่วย ไม่ได้หมายถึงเชียร์ทั้งฝ่ายแดงฝ่ายอำมาตย์ให้ตีกันเข้าไป หรือ "ชนะไหนฉันเฮด้วย"
แต่หมายถึงขอให้คนที่ออกไปในสนาม ปลอดภัย

ไม่ต้องไปภาวนาให้แกนนำเสื้อแดง เสื้อเหลือง ทหาร อำมาตย์ หรือรัฐบาล เพราะพวกเขาต้องรับความเสี่ยงอยู่แล้ว พวกเขาขับเคลื่อนสังคมมาจนถึงจุดนี้ได้ ก็ต้องรับสถานการณ์ที่จะเกิดกับตนเองได้ ขอให้คนที่คิดจะทำเพื่อชาติ ประชาชน ประชาธิปไตยและความยุติธรรม ที่เเท้จริงเป็นผู้ชนะก็แล้วกัน


แต่สำหรับคนทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นคนเสื้อแดงที่ตากแดดออกมาสู้เพื่อประชาธิปไตย หรือทหารตำรวจชั้นผู้น้อยที่ออกมาทำงานเพื่อหน้าที่ หรือแม้แต่ประชาชนธรรมดาที่ไม่ใช่สองพวกนี้แต่ได้รับผลกระทบไปด้วย ไม่ว่าอย่างใด


ขอให้พวกเขาปลอดภัยกันทุกคน ไม่ต้องเสียชีวิต เสียทรัพย์ กลับบ้านได้ ปลอดภัยกันทุกคนครับ

วันอังคารที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2553

วีรกรรมเกาะช้าง

พึ่งกลับมาจากการไปถวายพวงมาลาสดุดีวีรกรรมเกาะช้างมาครับ

โดยเดินทางโดย ร.ล.คลองใหญ่ ไปถึงจุดบริเวณระหว่างเกาะสลักกับเกาะลิ่ม ที่ซึ่งต้นเรือพยายามลาก ร.ล.ธนบุรีเข้ามาเกยตื้น หลังรบจนสุดใจจนตายเกือบทั้งลำเมื่อเช้า 17 มากราคม 2484

ผมถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ได้มีโอกาสมาสักการะสถานที่วีรชนไทยต่อสู่ยันไม่ให้อริราชศัตรูรุกเข้ามาได้

วันนี้เลยนำบทความที่ตีพิมพ์ในคมชัดลึกปี 53 นี้เองมาลงไว้เสียหน่อยว่า สงครามยุทธนาวีในวันนั้นสำคัญอย่างไรต่อชาติของเรา

--------------------
วันนี้เป็นวันครบรอบ 69 ปีของหนึ่งในยุทธภูมิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของชาติเรา แม้ว่าวันนั้นฝ่ายเราไม่ได้กลับขึ้นฝั่งในฐานะผู้ชนะ แต่กลับมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งไม่น้อยกว่าวันอื่นที่เราไล่เข่นฆ่าศัตรูพ้นจากการรุกรานประเทศ ทุกวันนี้ไม่มีใครลืมยุทธนาวีที่เกาะช้างที่กองเรือที่ด้อยกว่าของเราต้องจมให้กับกระสุนของฝรั่งเศสถึง 3 ลำ พร้อมผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บอีกเป็นจำนวนมาก แต่การสู้รบเพียงไม่ถึง 3 ชั่วโมงนี้เองทำให้ฝรั่งเศสเสียแผนทางยุทธศาสตร์ครั้งใหญ่ และไทยสามารถผนึกครองอินโดจีนเป็นครั้งสุดท้ายในประวัติศาสตร์อีกด้วย


บทบาทกองทัพเรือในสงครามโลกครั้งที่ 2 ค่อนข้างน้อย เรื่องที่พอจดจำได้คือการเสี่ยงตายในทางสนับสนุนการรบ เช่น รล.มัจฉานุและ รล.วรุณ ซึ่งเป็นเรือดำน้ำช่วยปั่นไฟแทนโรงไฟฟ้าวัดเลียบที่โดนทิ้งระเบิด และที่ได้ตายจริง ๆ คือ รล.สมุย ถูกจมขณะไปลำเลียงน้ำมันสิงคโปร์มาให้ประเทศที่กำลังขาดแคลนเชื้อเพลิง ทำให้ทหารเรือต้องพลีชีพถึง 31 นาย เหตุที่บทบาทค่อนข้างน้อยเพราะ ยกเว้นกับกองเรือฝรั่งเศสแล้ว ทหารเรือไม่ได้รบกับทั้งญี่ปุ่นในอเมริกาอย่างจังหน้าไม่ว่าจะเป็นน่านน้ำฝั่งไหน แม้แต่การยกพลขึ้นบก 7 จุดของญี่ปุ่นเมื่อเช้ามืดของวันที่ 8 ธ.ค.2484 ทหารญี่ปุ่นก็ไม่ได้เข้าเขตของทหารเรือ เลยไม่ปรากฎวีรกรรมที่น่ายกย่องเหมือนทหารและพลเรือนในจุดอื่นที่เมื่อถึงเวลาคับขันแล้ว เลือดไทยย่อมพร้อมสละได้เพื่อสิ่งที่หวงแหนมากกว่าครอบครัวและชีวิตตนเอง นั่นคืออธิปไตยของชาติ


วันที่ 17 มกราคม 2484 ทหารเรือไทยได้กระทำชาติพลีอย่างสมค่าควรศักดิ์ศรี ในเวลานั้นไทยได้รบฝรั่งเศสมาระยะนึงแล้วเพื่อทวงดินแดนฝั่งลาวและเขมรคืนมา กำลังทางอากาศและทางบกของเรารุกไล่ฝรั่งเศสที่การส่งกำลังบำรุงไม่สมบูรณ์ เพราะประเทศแม่ตกเป็นเมืองขึ้นเยอรมันไปตั้งแต่เมื่อครึ่งปีก่อน แต่สำหรับกำลังทางเรือนั้น ฝรั่งเศสยังมีสมบูรณ์กว่าไทยมากและหวังจะล่องเข้ามาโจมตีจุดยุทธศาสตร์ถึงกรุงเทพเพื่อเปลี่ยนชะตากรรมของสงครามจากการเป็นรองไทยมาเป็นชัยชนะ แต่ รล.ธนบุรี รล.สงขลา และรล.ชลบุรี ได้เข้าต่อตีสกัดกั้นไว้ทางด้านใต้ของเกาะช้าง ด้วยกำลังที่ต่างกันมากทำให้ฝ่ายเราสูญเสียเรือทั้งหมดที่ทำการรบ หากจะว่าพ่ายแพ้ก็ไม่ใช่ เพราะเรือของฝรั่งเศสเป็นฝ่ายผละถอยไปจมไปซ่อมนอกสมรภูมิเสียหลายลำ และไม่สามารถจัดกำลังรุกเข้าน่านน้ำไทยได้อีกเลย จนสิ้นสงครามอินโดจีน พ.ค.ปีนั้นซึ่งฝรั่งเศสต้องยอมยกดินแดนให้เราหลายพื้นที่


ในห้วงเวลาที่คนของกองทัพบางส่วนแตกแยกกันเป็นฝักฝ่าย ความสัมพันธ์ระหว่างพลเรือนกับทหารมีความกังขา หวังว่าทุกคนจะหวนระลึกได้ว่าเมื่อถึงวันที่วิกฤตอย่างยิ่ง เช่นวันที่กล่าวมาแล้วเมื่อกว่าค่อนศตวรรษนั้น บรรพบุรุษผู้สวมเครื่องแบบของเราเคยสละชีพเพื่อคนส่วนใหญ่ชองชาติอย่างไร และบรรพบุรุษผู้อยู่แนวหลังของเราเคยตื้นตันใจ เชียร์ทหารของชาติให้สู้เพื่อความเป็นไทอย่างไร

วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

หากอำมาตย์ล้ำลึกจริง ต้องไม่ยึดทรัพย์ทักษิณ

พรุ่งนี้แล้ววันตัดสินชะตากรรมเงินจำนวนหนึ่งของทักษิณ ที่บางฝ่ายคิดว่ามาก




ถ้าเกิดยึดทรัพย์ทักษิณได้ บางคนเห็นว่านั่นคือวันมหาประชาปิติ ดีใจที่เอาเงินของเขามาเข้ารัฐได้ 75 เปอร์เซ็นต์ เข้ากะเป๋ากันเองอีก 25 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่อีกหลายคนกลับเห็นว่าเป็นวันมหาประชาวิปโยค ที่ระบบตุลาการเมืองไทยเป็นไปได้ถึงขนาดนั้น

แต่หากให้ฉลาด อำมาตย์อย่ายึดทรัพย์ทักษิณ เพราะมีประเด็น 3 ข้อที่กล่าวไปแล้วเมื่อบทก่อน

ส่วนประเด็นที่เด็ดขาดจริงๆ คือ การกอบกู้ภาพลักษณ์ระบอบตุลาการภิวัตน์ขึ้นมาใหม่


ถ้าปล่อยทรัพย์ทักษิณหนนี้ เสื้อแดงก็หมดโอกาสอ้างว่าตุลาการเข้าข้างอำมาตย์ เพราะขนาดเงินตั้งเกือบแสนล้านอำมาตย์ยังตัดสินอย่างยุติธรรมเลย ว่าเข้านั่น

แล้วค่อยไปเก็บคืนกับคดีต่าง ๆ อย่างสบายใจเฉิบ ใครหาว่า 2 มาตรฐาน ก็ชี้ให้เห็นว่าไม่จริง โดยดูคดี 76000 ล้ายศาลยังตัดสินเป็นคุณกับฝ่ายทักษิณเลย เห็นไหมเล่า

เจอเข้าอย่างนี้ เสื้อแดงเห็นจะตาปริบ ๆ ต่อการลากยาวของคดีปิดสนามบิน ยึดทำเนียบ รุกเขายายเที่ยง และอีกร้อยแปด


แต่ถ้าหากอำมาตย์อยากให้ความรู้สึก 2 มาตรฐานเด่นชัด ก็รุกยึดทรัพย์ทักษิณเลย จุดพลิกผันจะได้มาถึงไวไว สะใจคอซาดิสท์

วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เป็นไปได้ไหม ทักษิณจะไม่ถูกยึดทรัพย์

ผมจะไปดูงานภาคตะวันออกสัปดาห์หนึ่ง คงกลับมาพร้อมกับการตัดสินของศาลว่าจะยึดทรัพย์อดีตนายกทักษิณ ชินวัตร 76000 ล้านหรือไม่ ใน 26 ก.พ.

ถ้าไม่มีการเลื่อน วันนั้นคงเป็นจุดเปลี่ยนประเทศไทยอีกวันหนึ่ง

คนที่รู้จักทั้งฝ่ายเสื้อแดง-เสื้อเหลือง ประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ เห็นว่าคงยึดทั้งหมด อีก 7-8 เปอร์เซ็นต์ ว่ายึดไม่หมดหรอก มีแค่หยิบมือที่กล้าบอกว่า ทักษิณคงหลุด ไม่โดนยึดทรัพย์


แม้จะมีหลักฐานชี้ไปในทางที่ว่างานนี้ทักษิณ ไม่น่ารอด แต่ขอผมพิจารณาแหกธงหน่อยนึงเถอะ

ที่ว่าทักษิณอาจไม่โดนยึดทรัพย์ นั้นไม่ใช่ว่าศาลเกิดมีไอเดียว่าทักษิณไม่ผิด หรือเป็นผลพวงจากดำรัสในหลวงเมื่อไม่นานมานี้ แต่เพราะว่า ฝ่ายอำมาตย์ยังไม่จำเป็นต้องเล่นงานทักษิณแรงขนาดนี้

1. ขณะที่ฝ่ายประชาธิปัตย์และเสื้อเหลืองเชียร์ให้ยึดทรัพย์เลย พวกเขาย่อมเผื่อใจไว้ด้วยว่าหากยึดคงเกิดความรุนแรง เพียงแต่พวกเขาคิดว่าคงรับมือได้ แต่ฝ่ายอำมาตย์ ซึ่งไม่ได้เป็นเนื้อเดียวน้อยเปอร์เซ็นต์กับสองพวกแรงนั้นน่าจะคิดไกลกว่า เพราะ "ดุลยภาพบนความขัดแย้ง" เป็นสิ่งที่ฝ่ายอำมาตย์ต้องการสูงสุด นั่นคือขัดแย้งได้ แต่หากเกินเลยไปจนถึงขั้นจลาจล อำมาตย์จะได้รับผลกระทบมากมาย เขาจะยอมหรือ

2. อำมาตย์ยังมีกลไกอีกมากที่จะเล่นงานทักษิณ ยึดทรัพย์เท่านี้ไม่กระเทือนทักษิณ เพราะทักษิณไม่ได้ใช้เงินตรงนี้มานานแล้ว ไม่ได้ทำลายความหวังทักษิณ เพราะทักษิณยังมีความหวังในชัยชนะอนาคต ซึ่งหากเขาชนะทุกอย่างก็ได้คืนหมด ดังนั้นฝ่ายอำมาตย์ต่อให้ก่อนก็ได้

3. ยึดเงินนั้นเป็นการแตกหัก แต่การปล่อยเงินหรือดึงไว้ก่อนเป็นหมากเเห่งการรอมชอม อย่านึกว่าอำมาตย์จะไม่เล่นมุกนี้ ทุกอย่างอาจเกิดขึ้นได้ แล้วแต่การเจรจาทั้งนั้น แม้ว่าในทางเปิดฝ่ายอำมาตย์จะพยายามเล่นงานทักษิณมาหลายปี แต่ในทางลับการต่อรองหาจุดลงตัวยังมีอยู่เสมอ


อย่างไรก็ตาม เปอร์เซ็นต์การไม่โดนยึดทรัพย์นั้นน้อยกว่ามาก เเละหากยึดทรัพย์ไปก็ไม่มีใครแปลกใจ เพราะคาดเดาอยู่แล้ว แต่ที่คาดเดาไม่ถึงก็แล้ว ฉากต่อจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้น วุ่นวายโกลาหลขนาดไหน หรือเงียบสงบ แล้วฉากที่เกิดขึ้นนี้จะไปสู่ผลลัพธ์อย่างไร

วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

รับมือกับปัญหากัมพูชาอย่างมีสติ

นายกไทยกับนายกกัมพูชา กำลังทะเลาะกันอย่างหนัก และมีทีท่าว่าจะลากเอาส่วนอื่นของประเทศเข้าสู่กลไกความขัดแย้งด้วย วันนี้จะขอนำบทความที่นำลงเมื่อ 15 พฤศจิกายน ตอนที่รัฐบาลพลิกกลับจากการหงอให้ฮุน เซ็น มาเป็นโกรธกริ้ว เพียงเพราะทักษิณไปเป็นที่ปรึกษาฝ่ายโน้น

ความห้าวที่ผิดกาละเทศะส่งผลกระทบมาจนถึงทุกวันนี้ ทางแก้ไม่ใช่การกลับไปหงอใหม่ ไม่ใช่การลุยทุกรูปแบบ และไม่ใช่การเอะอะอะไรก็เพ้อแต่คำว่าทักษิณ แต่ควรจะทำยังไงนั้นอ่านดูแบบไม่ตัดทอนเถอะครับ


รับมือกับปัญหากัมพูชาอย่างมีสติ



และแล้วรัฐบาลก็กล้าที่จะห้าวใส่ฮุน เซ็น สมดังความตั้งใจของกองเชียร์เสียที แต่การอ้างเหตุผลเรื่องทักษิณนั้นเป็นเรื่องที่ผูกปัญหายุ่งเหยิงที่ตามมาอีกมาก ขณะที่ยังไม่แน่ใจว่าปัญหาพื้นฐานที่เสียเปรียบกัมพูชาจริงๆ นั้น รัฐบาลจะแก้ได้หรือเปล่า หรือว่านี่เป็นเพียงเกมบลั๊ฟกันซึ่งไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน นอกจากความได้เปรียบของพรรคประชาธิปัตย์ในการเมืองภายในประเทศ การรับมือกับปัญหานี้อย่างฉลาด หวังแก้ปัญหาอย่างจริงจัง โดยไม่สร้างศัตรูถาวรเพิ่มขึ้นนั้นคือสิ่งที่ผู้มีอำนาจควรทำ



รัฐบาลควรตอบโต้เขมรมาตั้งแต่เมื่อต้นปีที่ทหารกัมพูชารุกเข้ายึดพื้นที่ทับซ้อนสามพันไร่ ไม่ใช่ปล่อยให้พวกเขาตั้งมั่นอยู่บนยอดภูมะเขือ จ่อปืนใหญ่มาทางไทยได้ วิธีการแก้ไขปัญหาไม่ใช่การเอาบรรณาการไปส่งเปล่า ๆ ไม่ใช่การยกเลิกเอ็มโอยูทางทะเล ที่อาจปิดกั้นโอกาสการแสวงประโยชน์ในน้ำมันและก๊าซของกัมพูชา และไม่ใช่การอ้างสิทธิเหนือปราสาทพระวิหารที่เสียไปแล้ว แต่ต้องเป็นการผลักให้เขมรยกทัพออกไปให้ได้ และต้องให้ฮุน เซ็น เลิกการจับจ้องปราสาทตาเหมือนเสียด้วย การทบทวนความช่วยเหลือกัมพูชานั้นถูกแล้วและหากจำเป็นก็อาจต้องใช้กำลังอย่างจำกัด ควบคู่ไปกับการปักปันเขตแดนที่ควรแล้วเสร็จเสียที จะด้วยวิถีทางใด แลกพื้นที่บางส่วนของกันและกันก็ได้ถ้าจำเป็น



รัฐบาลต้องควบคุมกระแสชาตินิยมให้พอเหมาะ ไม่ใช่คลั่งชาติจนนำไปสู่การไม่ยอมกันของชนในชาติ การมุ่งเป้าไปที่อดีตนายกนั้น รัฐบาลต้องเล็งรับมือกับความไม่พอใจอย่างรุนแรงของเครือข่ายเสื้อแดงด้วย ปฏิกิริยาเร่งอย่างนี้ ต่อให้มีจุดพลิกผันหรือแตกหักเป็นห้วง ๆ ก็จะไม่มีวันจบลงในระยะเวลาอันสั้น ไม่รู้ว่ารัฐบาลเตรียมพร้อมขนาดไหน ยุทธศาสตร์ระยะยาวเป็นเช่นไร และจะเหมาะสมกว่าไหมที่จะดำเนินการกับกัมพูชาในแบบที่ทั้งฝ่ายเสื้อแดงและเสื้อเหลืองพอใจทั้งคู่ ไม่ใช่ยิ่งแตกร้าวกันหนักเข้าไปอีก และที่สำคัญคือความรู้สึกหรืออุดมการณ์ใด ๆ นั้นเป็นคนละเรื่องกับความจริงที่ตรงเข้าถึงตัวชาวบ้าน เช่น ปัญหาเศรษฐกิจและสังคมไปได้ รัฐบาลต้องไม่ลืมให้น้ำหนักกับประเด็นนี้เป็นอันขาด



ปัญหาใด ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างไทยกับกัมพูชาอย่าให้ลามไปในด้านอื่น คงต้องเตรียมตัวรับผลกระทบทางเศรษฐกิจทั้งจากการค้าการลงทุนในประเทศนี้ และผลกระทบที่ชาติอาจเข้าสู่ภาวะไม่สงบเอาไว้ การตอบโต้ด้วยวาจาแบบเด็ก ๆ เช่น จะสร้างบ้านให้ผู้มีส่วนกับการปลุกกระแสความไม่สงบในพนมเปญเมื่อ 6 ปีก่อน (หมายถึง สมรังสี) นั้นไม่ควรเอ่ย ขณะที่การจัดหายุทโธปกรณ์เพื่อรองรับศึกทางตะวันออกควรตรวจสอบให้ดี อย่าให้ใครใช้เป็นข้ออ้างหาประโยชน์เกินจำเป็นได้


ลงท้าย ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร ขอให้เลือกดำเนินการในทางที่ถูกต้อง เป็นประโยชน์อย่างแท้จริงต่อประเทศชาติและคนไทยมากกว่าพรรคประชาธิปัตย์หรือกลุ่มก้อนใด ๆ

วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

สองมาตรฐานอย่างนึกไม่ถึง..กรณีสนธิ

ฟังความเรื่อง 2 มาตรฐานมานานแล้ว เคยรู้สึกว่าบางเรื่องที่เสื้อแดงกล่าวหาก็เป็นเรื่องจริง บางเรื่องก็เกินไป ฝ่ายกระบวนการตุลาการอาจไม่เจตนา



แต่วันนี้ อัยการทำให้ผมตาสว่าง



เพราะเขาฟ้องสนธิ ลิ้มทองกุล ที่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพบนเวที แต่ทำไมสนธิไม่ได้ ต้องยอมให้คนผู้นี้เลื่อนการเข้ารายงานตัวไม่มีกำหนด อ้อ จนกว่าจะรู้ผลว่าในหลวงจะพระราชทานอภัยโทษให้คนผู้นี้หรือไม่



เรียกว่าจะไม่ทำอะไรกันเลย จนกว่าจะอีกนานเท่าไหร่ไม่รู้ ปล่อยให้สนธิลอยนวล



สนธิ นี่ก็แสบมาก เล่นเกมชิงขอพระราชทานโทษก่อนการตัดสิน นอกจากเพราะไม่อยากเข้ากระบวนการไต่สวนแล้ว ยังผลักภาระทางคดีให้เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินตัดสินเสียอีก เล่นอย่างนี้ไม่สนเลยว่าจะเป็นที่หนักพระทัยของพระองค์ท่านหรือไม่ ทั้งยังหนักใจฝ่ายฟ้องร้องเอาผิดด้วย



นั่นคือฝ่ายเกมที่สนธิเล่น



แต่ฝ่ายเกมที่อัยการเล่น จะรออะไร สนธิ ทำอะไรก็ทำไป ทำไมไม่บังคับให้คนผู้นี้มารายงานตัวให้ได้ ศาลจะได้รับลูกไต่สวนต่อไป รออยู่ทำไม เขาจะรอพระบรมราชวินิจฉัยก็เเล้วแต่เขา



เมื่อเทียบกับฏีกาของฝ่ายเสื้อแดงที่ตกชัดขลุกขลักอยู่ที่กรมราชฑัณฑ์ ฏีกาของสนธิ ขึ้นไปได้อย่างไร หรือได้รับอนุมัติตรวจผ่านจากสำนักเลขาธิการ หรือรัฐบาลประกอบความเห็นเรียบร้อยแล้ว ทำไมถึงต่างจากฏีกาของคนเสื้อแดง

ฝ่ายรัฐกระเหี้ยนกระหือต้องเอาทักษิณมาติดคุกก่อน แล้วค่อยให้ทักษิญขออภัยโทษทีหลัง แต่กรณีสนธิ ที่ขอนอนนอกคุกก่อน ขออภัยโทษล่วงหน้าคำตัดสิน .... ทำไมทำได้ครับ



กรณีนี้จะเป็นฟางอันสุดท้ายหรือไม่ รอดูกันต่อไป แต่บอกกันตรง ๆ หากฝ่ายอนุรักษ์ต้องการรักษาระบบของตนไว้ให้นานที่สุด ท่ามกลางพายุของความเปลี่ยนแปลง ก็ต้องกำจัดความอยุติธรรมโดยเร็ว โดยเฉพาะในเรื่องที่ฝ่ายของตนทำผิด อย่าช่วยกัน

วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2553

เรื่องของบ้านเมืองอย่าเชื่อโหร...เลอะเทอะ

เรื่องการดูดวงนั้น ใคร ๆ ก็ชอบ เพราะอยากรู้อนาคต ทั้งที่มั่นใจเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ว่ามันคงไม่ตรงไปทั้งหมด

แต่ก็ขอให้ดูขำ ๆ อย่างมงาย เพราะมันไม่เป็นวิทยาศาสตร์

อาจจะมีคนแย้งว่า หมอเขาทายถูกหลายคนหลายเรื่อง....ที่เขาทายผิดก็มีมาก แต่เราไม่รู้
หมอเขาชื่อดังมาก...ก็เพราะคนขาดความมั่นใจในตัวเองในสังคมมีมาก เลยหลงเชื่อง่าย
หมอเขามีหลักคิดโน่นคิดนี่... เพ้อเจ้อทั้งนั้น คนเรามีเป็นพันล้าน แต่ดวงตกฟากลัคนาหรืออะไรก็มิอะไรมีไม่กี่แบบ ดวงดาวยิ่งมีไม่กี่ดวง จะให้คุณให้โทษเราเป็นการเฉพาะน่ะหรือ เพ้อเจ้อ

จะยิ่งเพ้อเจ้อหนัก ถ้าไปเเก้โน่นเเก้นี่ตามที่หมอบอก

เรื่องของบ้านเมือง จะเกิดปฏิวัติไหม จะยุบสภาดีไหม ดวงคนนั้นเหมาะควรเป็น รมต.ต่อ คนนี้ปีชงกับนายกต้องปลดซะ เปลี่ยนประตูเข้าอกรัฐสภาใหม่ .... เรื่องเหล่านี้เหมือนนิยายไร้สาระ ถ้ารับฟังพอสนุกก็ไม่เป็นไร แต่หากเชื่อไปปฏิบัติตาม หรือกลัวตาม ก็บ้าล่ะครับ


ก็เห็นมีประเทศไทยนี่แหละ ทำอะไรไม่ต้องคำนึงถึงเหตุผล คำนึงถึงหลักการหมอดูเป็นใหญ่ สุดท้ายก็ไม่เจริญอย่างที่เห็น


เลิกหน่อมแน้มกันดีกว่า มองสถานการณ์อย่างถี่ถ้วนตามหลักแห่งความเป็นไปได้ ไม่ให้โหราหูราอะไรไม่รู้

ผู้มีอำนาจตัดสินใจน่ะตัวดี เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ขนาดหนัก เกียรติยศมันสมองเลอเลิศ หลายคนเพ่อเจ้องมงายหมอดูซะยิ่งกว่าชาวบ้านรากหญ้า แถมตัดสินชะตาประเทศชาติไปตามนั้น วังเวงจริงจริง

วันศุกร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2553

กองกำลังส่วนตัวติดอาวุธ

ในโลกที่คนมีเงินมากเป็นปฏิภาคโดยตรงกับศัตรู ความต้องการใช้เงินเพื่อคุ้มภัยตนเองยิ่งมาก การจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธส่วนตัวเป็นทางออกที่สร้างความมั่นใจให้กับพวกเขาที่สุด มากกว่าการคบผู้มีอิทธิพล ฝึกยิงปืนหรือซื้อเสื้อเกราะ ในประเทศของเราถือว่าการทำเช่นนี้ผิดกฏหมาย แต่การดำเนินคดีไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะกิจกรรมหลายอย่างก็ก้ำกึ่งในการตีความ


แม้ว่าตามหลักการสากลประเทศหนึ่งจะมีกองทัพเดียว ไม่มีใครควรมีกองกำลังเหนือกฏหมายคุ้มภัยอีก แต่ในความเป็นจริง พ่อค้า นักเลง ผู้มีอำนาจและคนที่เป็นห่วงความปลอดภัยของตนเองและทรัพย์สินจำนวนมากต่างจ้างกองกำลังส่วนตัวกันเป็นว่าเล่น ทำงานเพื่อเอกชนได้ 24 ชม. เพราะกองกำลังของรัฐไม่มีสิทธิ์จะไปรับใช้บุคคลโดยตรงเช่นที่ว่า ขอบเขตของบริษัทรักษาความปลอดภัยเหล่านี้มีความกว้างขวางอย่างคาดไม่ถึง ในประเทศที่เจริญแล้ว คนของบริษัทแบล็ควอเตอร์ (ตอนนี้เปลี่ยนชื่อเป็น ซี) อาจไม่ได้รับอนุญาตให้พกปืน หากจะยิงใครสักคนก็มีโอกาสติดคุกสูง แต่หากพวกนี้ไปปฏิบัติหน้าที่ในดินแดนที่ชีวิตของพวกเขาเองก็ต้องเสี่ยง การพกอาวุธสงครามและการชิงยิงศัตรูก่อนอาจเกิดขึ้นได้เสมออย่างกรณีที่พวกเขายิงชาวอิรักตายไป 17 ศพเมื่อปี 50 โดยอ้างการป้องกันตัวและลอยนวลเสียด้วย บางบริษัทเช่น อีโอ ของแอฟริกาใต้ถึงกับรับสัมปทานกับรัฐบาลและบริษัทยักษ์ใหญ่ทำการสู้รบกับกองกำลังก่อการร้ายท้องถิ่นอย่างเป็นจริงเป็นจัง เพื่อพิทักษ์ผลประโยชน์ของผู้ว่าจ้าง โดยที่กฏหมายในประเทศบ้านป่าเมืองเถื่อนเหล่านั้นอ่อนแอเต็มที

กองกำลังติดอาวุธมาเฟียที่โด่งดังที่เราได้ยินกันบ่อยครั้ง คือแถวยุโรปใต้และอเมริกาใต้ ซึ่งมีการต่อสู้ระหว่างกลุ่มเจ้าพ่อและบางครั้งก็รบกับเจ้าหน้าที่รัฐ ปีนี้ที่ฮิตมากคือที่เม็กซิโก มีการพยายามกวาดล้างซุ้มมือปืนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจยาเสพติด สงครามนี้ทำให้ตำรวจต้องสังเวยชีวิตมาก ส่วนที่กำลังมาแรงคือที่ฟิลิปปินส์ ซึ่งกองกำลังของเจ้าพ่อบนเกาะมินดาเนาเล่นงานประชาชนจนรัฐบาลอยู่เฉยไม่ได้


ในไทยนั้น ซุ้มมือปืนใต้ปีกนักการเมืองท้องถิ่นนั้นมีอยู่เสมอ ถ้าไม่ก่อคดีครึกโครมเกินไปคนร้ายเหล่านี้ก็อาจเดินเหินอย่างลำพอง วันดีคืนดีก็ก่อคดียิงศัตรูให้”นาย” ก็เรื่องขัดผลประโยชน์รายได้จากรัฐเป็นหลัก ยิ่งช่วงใกล้เลือกตั้งยิ่งลงมือมาก เป็นอย่างนี้มานานแล้ว แต่ปัจจุบัน มีกองกำลังประเภทใหม่ที่เกี่ยวข้องกับอุดมการณ์และการเมืองระดับชาติเกิดขึ้น ไม่ทราบว่ามีอาวุธที่หายไปจากทำเนียบรัฐบาลเมื่อปีก่อนมาเกี่ยวข้องหรือเปล่า ถ้าทางการจะตรวจสอบและหาทางสลายกองกำลังประเภทนี้ ก็จะทำให้ประชาชนอุ่นใจหากต้องสัญจรผ่านถนนบางสายในยามค่ำคืน


คมชัดลึก 11 พ.ย.52

วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2553

มายอน จะระเบิดหรือไม่

ภัยธรรมชาติขนาดใหญ่ที่เอเชียแปซิฟิกเราจดจ่อมากที่สุดเมื่อปลายปีที่แล้วว่าอาจจะเกิดขึ้นได้ก็คือ การระเบิดของภูเขาไฟมายอน มหัศจรรย์ธรรมชาติที่สวยงามระดับโลกของฟิลิปปินส์ แต่เมื่อเปลี่ยนศักราชใหม่ เจ้าเอล นินโญ่ ดันสร้างปรากฏการณ์กลบเสียหมด และคงจะเป็นพระเอกไปจนตลอดปีนี้ แต่มายอน จะยังมีโอกาสขโมยซีนหรือไม่ จะกลายเป็นเรื่องดังเหมือนที่ภูเขาไฟปินาตูโบ เพื่อนใกล้กันระเบิดเมื่อ 19 ปีก่อนหรือไม่ ยังต้องรอตืดตามต่อไป


ฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่อยู่ในวงแหวนภูเขาไฟของเอเชียแปซิฟิกเต็ม ๆ ชาวบ้านเลยต้องนอนผวาเพราะทับที่กับภูเขาไฟซึ่งยังไม่ระเบิดไม่รู้กี่ลูกต่อกี่ลูก เขตใกล้ภูเขาไฟนั้นถึงจะอันตรายแต่ชาวบ้านก็ชอบไปอาศัยอยู่ เนื่องจากดินดี เพราะปลูกได้สมบูรณ์ ทั้งยังขายของให้นักท่องเที่ยวได้อีก เรื่องภัยธรรมชาติค่อยหลบเอาเป็นครั้งคราวไป สำหรับภูเขาไฟมายอนที่อยู่บนเกาะลูซอนนี้ ปะทุมาแล้ว 48 ครั้งนับตั้งแต่บันทึกกันไว้ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2159 ภัยพิบัติหนัก ๆ ล่าสุดที่พึ่งเกิดขึ้นไม่นานมานี้ก็คือตอนปลายปี 49 เกิดปะทุอย่างแรง พ่นลาวาและเถ้าถ่านออกมามากคล้ายกับเวลานี้ แต่ก็ได้สงบลงเมื่อปลาย ต.ค.ปีนั้น ชาวบ้านนึกว่าปลอดภัยกลับเข้าพื้นที่ โชคร้ายที่อีกเดือนนึงถัดมาพายุทุเรียนขึ้นโจมตีเกาะลูซอน พัดเอาโคลนเถ้าภูเขาไฟถล่มทับชาวบ้านตายไป 1300 คนสด ๆ


ตลอดเดือน ธ.ค. ที่ผ่านมา มายอนปะทุหนักหน่วง จนทั่วโลกคาดการณ์ว่าต้องระเบิดขึ้นแน่ รัฐบาลต้องอพยพชาวบ้านหมื่นครอบครัวออกจากพื้นที่รัศมี 8 ก.ม.รอบภูเขา ปรากฏทั้งเถ้า ทั้งหินลอยขึ้นฟ้า แผ่นดินไหวกึกก้องต่อเนื่องเพราะแมกม่าใต้ผิวโลกขยับแรง ธารลาวา 3 สายไหลริน แต่โลกก็โล่งอกไปเมื่อสถาบันภูเขาไฟและแผ่นดินไหวของฟิลิปปินส์ประกาศลดระดับความน่ากลัวของมายอนลงเมื่อ 2 ม.ค.โดยอ้างว่าการขยับแข้งขาของมายอนลดลงแล้ว โดยเฉพาะก๊าซพิษซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ขอเชิญชาวบ้านกลับเข้าไปอาศัยในระยะ 7-8 กิโล ได้ แต่โลกก็คงไว้วางใจไม่ได้


ยังจำตอนที่ภูเขาไฟปินาตูโบระเบิดเมื่อปี 2531 ได้ เพราะผมอยู่ในมะนิลาหลังห้วงเวลาการระเบิดแล้วไม่นาน ยังทันได้ซึมซับบรรยากาศที่ชาวบ้านพูดคุยกันถึงการระเบิดครั้งที่ใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ภูเขาไฟการกะตั้วของอินโดนีเซียระเบิดเมื่อปี 2426 และได้ซื้อเสื้อซื้อหมวกที่มีสลักคำว่า “ฉันรอดมาจากปินาตูโบ”ซึ่งเป็นซูวีเนียร์ที่นักท่องเที่ยวชื่นชอบที่สุดรองมาจากหินภูเขาไฟจากสถานที่จริง มีคนตายคราวนั้น 800 คน เถ้าถ่านสีขาวมองเห็นได้ไกลถึงกัมพูชา อุณภูมิโลกลดลงครึ่งองศา โอโซนโดนทำลายและกรดกำมะถันในชั้นบรรยากาศโลกเพิ่มสูง หวังว่าภูเขาไฟมายอน วันนี้และวันต่อ ๆ ไปคงไม่กลายเป็นหายนะแบบนี้ กระนั้นก็ตาม ถึงวันนี้โลกยังละสายตาจากการอาจระเบิดขึ้นของมายอนไปไม่ได้

วันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2553

งบดูงานด้านการทหาร

ปีใหม่แล้ว ขอนำบทความนี้ลงให้อ่านกัน เซ็งกับพวก พวกสมองเสื่อมบ้าอำนาจที่เอางบไปผลาญหรูหราสนุกแทบทุกเดือน แต่ทีผลประโยชน์ของชาติในการพัฒนาคุณภาพบุคลากรเป็นส่วนรวมจากงบดูงานต่างประเทศเพียงจิ๊บจ้อยนั้นกลับมองไม่เห็น

-----------------------------



หนึ่งในปัจจัยสำคัญของการพัฒนากองทัพของเราก็คือการทำความเข้าใจหน่วยงานกองทัพต่างประเทศ ทั้งในเชิงเปรียบเทียบ ทั้งในเชิงเรียนรู้ศึกษาความแตกต่างที่บ้านเรามีแต่เราไม่มี และทั้งในเชิงรับวิทยาการใหม่ ๆ ทั้งนี้ความเข้าใจดังกล่าวมาจากหลายทาง ทางซึ่งจำเป็น แม้ว่าจะสิ้นเปลืองงบประมาณมากก็คือการไปดูงานในต่างประเทศ ในยุคที่เศรษฐกิจไม่ดีเช่นนี้ เป็นโอกาสดีสำหรับการจัดสรรงบอย่างเหมาะควร ไม่ใช่คิดง่าย ๆ ว่าก็เลิกไปดูงานต่างประเทศเอาซะเลย


ในเกือบทุกหน่วยงานระดับยุทธศาสตร์ของกองทัพมีงบประมาณดูงานด้านต่างประเทศ ซึ่งผู้ที่ได้รับการคัดเลือกให้ไปดูงานมักเป็นผู้บังคับบัญชาระดับสูงหรือผู้เกี่ยวข้องกำกับดูแลงานด้านนั้น ๆ ขณะที่ในส่วนของการศึกษาก็มีงบประมาณนี้เช่นกัน แต่ปีนี้ค่อนข้างน้อยเพราะถูกปรับลดงบ และอาจทำให้นักศึกษาระดับสูงของกองทัพ เช่น วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรและวิทยาลัยเสนาธิการทหาร ปราศจากการดูงานในต่างประเทศ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นก็น่าเสียดายมาก


การดูงานทางทหารต่างจากการศึกษาทางทหาร ตรงที่ใช้เวลาน้อยวันกว่า มุ่งไปในทางเยี่ยมชม สังเกตกิจการ สถานที่ ไม่ใช่ไปเรียนไปฝึก สิ่งที่ได้กลับมานั้นมีคุณค่าต่อวิทยาการ ไอเดียใหม่ ๆ ที่ประเทศและกองทัพจะได้รับ ขณะเดียวกันก็เป็นการพัฒนาบุคลากรจากรุ่นสู่รุ่นด้วย ประสบการณ์ตรงเช่นนี้ต่างจากการดูงานในประเทศ ซึ่งก็มีข้อดีไม่น้อยแต่มีข้อจำกัดในแง่ของกรอบความรู้ที่ได้รับ ในขณะที่การดูงานในประเทศจะทำให้เข้าใจปัญหาของพื้นที่และยืนอยู่บนความเป็นจริงของการแก้ไขปัญหานั้น การดูงานต่างประเทศจะเสริมปัญญาในด้านวิสัยทัศน์ และความคิดเชิงเปรียบเทียบกับการแก้ปัญหาในส่วนอื่นของโลก การพัฒนากองทัพและเอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพต้องขึ้นอยู่กับการเข้าถึงประสบการณ์เหล่านี้


การตัดหรือปรับลดงบประมาณที่ถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับงบด้านอื่นของกองทัพนั้นไม่ได้ทำให้กองทัพได้รับคำชมในแง่ของการประหยัด คำชมที่แท้จริงควรมาจากการใช้งบอย่างเหมาะสม ดำรงประสิทธิผลสูงสุดเท่าที่จะทำได้ ดังนั้นการจัดการดูงานในต่างประเทศจึงจำเป็นต้องมี แต่ควบคุมให้อยู่ในกรอบที่จะสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยมากขึ้น เช่น ในแต่ละทริป เพิ่มการดูงานสถานที่ทางทหารทั้งสถานที่หลักระดับยุทธศาสตร์ของประเทศนั้นและสถานที่เฉพาะที่หน่วยงานสนใจ จัดเวลาเยี่ยมชมหน่วยงานของกระทรวงทบวงอื่นที่ทำงานสัมพันธ์กับกองทัพ และในช่วงอาหาร เชิญผู้ทรงความรู้ชาวต่างชาติมาพบปะ หากทำได้เช่นนี้ ก็อาจสามารถเปลี่ยนความคิดของคนบางกลุ่มที่ว่าการไปดูงานเมืองนอกเป็นเพียงโบนัสหรือเป็นไปเพื่อความเพลิดเพลินของคนที่ได้ไปเท่านั้น


โลกสาระจิปาถะ ธันวาคม 2552