วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ออสเตรเลีย จ้าวมหาสมุทรรายใหม่

แผนการอัพเกรดกองทัพครั้งใหญ่ที่ใช้เงินมหาศาลที่สุดในประวัติศาสตร์ของออสเตรเลียเริ่มแล้ว งานนี้ทั้งภูมิภาคต้องจับตามอง เพราะเป็นการสร้างสมแสนยานุภาพเพื่อการครองความเป็นจ้าวทะเลสองฟากฝั่งมหาสมุทร ถ่วงดุลอำนาจจีนที่กำลังเติมแต่งกองทัพแข่งขึ้นมา ขณะที่อเมริกา มหาอำนาจเดิมของภูมิภาคกำลังจะเฟดความสนใจไปที่อื่น และยกให้”มือสอง”ของตนอย่างออสเตรเลียและญี่ปุ่นช่วยแบกรับภาระในพื้นที่มากขึ้น


การพยายามโยกกำลังและอาวุธของสหรัฐ ฯ จากภาคพื้นแปซิฟิกไปอยู่จุดยุทธศาสตร์อื่นของโลกเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปได้สักประมาณ 10 ปีแล้ว พร้อมกับการกระตุ้นให้พันธมิตรทางยุทธศาสตร์ที่มีศักยภาพร่วมรับผิดชอบทางทหารในภูมิภาคมากขึ้น ในเอเชียเหนือนั้นเกาหลีใต้และญี่ปุ่นสามารถช่วยรองรับแนวทางนี้ได้ในระดับหนึ่ง แต่ที่พอหวังได้จริง ๆ คือออสเตรเลีย


เทคโนโลยีทางทหารของออสเตรเลียไม่แพ้ชาติใดในโลก แต่เท่าที่ผ่านมาดูเหมือนกับยังไม่กล้าออกนอกเขตน่านน้ำของตนอย่างเต็มที่ จริงอยู่ที่หมู่เกาะทะเลใต้นั้นเป็นเขตอิทธิพลของออสเตรเลีย และหากเกิดเรื่องอะไรกับอินโดนีเซียหรือติมอร์ ออสเตรเลียเป็นต้องเข้าไปแสดงท่าทีป้องกันตนเองเชิงรุกก็ตาม แต่พึ่งจะมาไม่นานนี้เองที่ออสเตรเลียคิดจะเดินเรือทะเลลึก ขยายแนวป้องกันประเทศส่วนหน้าให้ครอบคลุมมหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิกให้มากที่สุด


ออสเตรเลียยุคนายเควิน รัดด์ ที่ใคร ๆ ว่าเอนเอียงจีนมากจนออกนอกหน้านี้เองที่เพิ่มงบประมาณทางทหารอย่างต่อเนื่องปีนี้ปาเข้าไป 24,000 ล้านดอลลาร์ มากกว่าปีก่อนซะอีกแม้ว่าจะเจอพิษเศรษฐกิจกับเขาเหมือนกัน สำหรับแผนการล่าสุดที่จะยกระดับยุทโธปกรณ์ใหม่ทั้งหมดให้สอดรับต่อยุทธศาสตร์ด้านลอจิสติกส์ของประเทศนั้นใช้งบประมาณมหาศาล หมดไปแล้ว 6 หมื่นล้านและคงจะหมดไปอีกเยอะจนกว่าจะครบถึงปี 2571 ที่สำคัญคือซื้อ บ.จู่โจมเอนกประสงค์ใช้บนเรือได้ เอฟ-35 จำนวน 100 ลำมาใช้แทนเอฟ-18 ที่มีอยู่เดิม บ.เหล่านี้จะประจำการบนเรือฟริเกตรุ่นใหม่ที่ปฏิบัติการได้ไกลฝั่งมากขึ้น ติดตั้งจรวดเรือ-สู่-พื้นพิสัยไกลจำนวนมาก ยิ่งไปกว่านั้นจะต่อเรือดำน้ำไฮเทคอีก 12 ลำแทนที่เรือดำน้ำรุ่นเก๋าที่มีอยู่

การขยายแสนยานุภาพทางเรือเช่นนี้น่าจะมีผลทำให้ออสเตรเลียเข้าไปมีบทบาทในด้านการส่งกำลังบำรุงทางอาหารและพลังงานย่านมหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิกมากขึ้น โดยเฉพาะในจุดโช้คพ้อยท์ สำคัญอย่างเช่นช่องแคบมะละกาและทะเลอันดามัน เรียกว่างานนี้สวนกับจีนที่กำลังขยายตัวลงใต้พอดี แล้วจะเล่าเรื่องการขยายสนยานุภาพของจีนทางทะเลในโอกาสหน้าครับ

คมชัดลึก 10 พฤษภาคม 2552

วันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ทหารรับใช้บ้านผู้ใหญ่

การเสียชีวิตของพลทหารทำงานบ้านแม่ทัพภาคที่ 1 ในห้วงสงกรานต์อาจนำไปสู่การตั้งคำถามถึงระบบการเกณฑ์แรงงานฟรีเอาไปใช้ประโยชน์ส่วนตนของอภิสิทธิชน แต่เมื่อมองลึกลงไปถึงสภาพความเป็นจริงของสังคมที่ไม่เท่าเทียมกัน ระบบนี้มีประโยชน์ต่อทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อย ผู้ที่เกี่ยวข้องพอใจ เพียงแต่ว่าการจัดการในระบบต้องไม่ใช่เรื่องที่กดขี่กันจนน่ารังเกียจ

คนที่คิดถึงหลักความเท่าเทียมกันอาจจะไม่ชอบใจเมื่อได้ยินเรื่องพลทหารรับใช้ หรือผู้ใหญ่ที่มิใช่ทหารอาจจะขุ่นใจว่าตนเองทำไมไม่มีสิทธิเช่นนั้นบ้าง แต่ระบบทหารที่คำว่า ”นาย” มีความหมายเหมือนเจ้าชีวิตนั้นยังคงมีอยู่คู่สังคมไทยเสมอ สังคมทหารหลายๆ ประเทศแม้แต่ของต่างชาติที่เจริญแล้ว ทหารประจำบ้านพักผู้บังคับบัญชาก็มี ทำหน้าที่กันหลากหลาย บางคนแค่ขับรถให้ บางคนเลี้ยงหมา บางคนทำสวน บางคนทำงานบ้าน บางคนก็เหมาหมด

ผู้ใหญ่ฝ่ายทหารของไทยนั้นมีความจำเป็นที่ต้องใช้ทหารเหล่านี้พอสมควร ตั้งแต่นายร้อยจบใหม่ประจำหมวดก็มีทหารรับใช้ตามบ้านพักแล้ว การมีพลทหารประจำบ้าน ทำให้ผู้ใหญ่ไม่ต้องพะวงเรื่องจิปาถะที่ไม่เกี่ยวกับการยุทธ เอาเวลาและความคิดไปทุ่มเทให้แก่งานอย่างเต็มที่ โดยพลทหารผู้เสียสละดูแลเรื่องที่ดูเหมือนเล็กน้อย แต่สำคัญไม่เบาเหล่านี้ให้ เมื่อผู้หมวดเติบโตใหญ่ขึ้นไป ความจำเป็นที่ต้องมีคนที่ไว้ใจดูแลบ้านและครอบครัวนั้นมีมากขึ้น เมื่อเกษียณแล้วบารมีที่มีอยู่ก็พลอยทำให้รุ่นน้องที่คุมกำลังในกองทัพส่งพลทหารมาช่วยดูแล


พลทหารบ้านผู้ใหญ่เองก็ล้วนแต่เป็นผู้สมัครใจทำหน้าที่นี้ เพราะได้ประโยชน์จากการเป็นทหารรับใช้เช่นกัน ในชั้นต้นพวกเขาอาจไม่อยากถูกเกณฑ์เป็นทหาร เมื่อมาอยู่ในกองพันเจอสภาพการฝึก การเข้าเวรยามและการออกรบ พวกเขาอาจจะรู้สึกว่าตนเองไม่เหมาะกับเรื่องเหล่านี้ จึงสมัครใจทำงานที่เบากว่า เครียดและเสี่ยงน้อยกว่า ได้เบี้ยเลี้ยงครบเมื่อลากลับบ้าน นับเป็นการสมประโยชน์กันระหว่างผู้ใช้และผู้รับใช้แรงงานในสังคมอุปถัมภ์นี้


เมื่อพลทหารถูกส่งตัวมาอยู่ในบ้านของทหารผู้ใหญ่ทั้งที่อยู่ในและนอกราชการ พวกเขาอาจจะอยู่ในฐานะกึ่งคนใช้ แต่พวกเขาก็มีอิสระพอสมควร ขึ้นอยู่กับนายว่าใจดีเพียงไร จริงอยู่พวกเขาอาจต้องรับใช้ครอบครัวของนายด้วย แต่สังคมยุคนี้ไม่ใช่สังคมละครทีวี หากมีการกดขี่เอาเปรียบเกินไป พลทหารพร้อมที่จะขอกลับกองพันได้เสมอ เช่นเดียวกับฝ่ายนายก็อาจเปลี่ยนตัวพลทหาร หากไม่ถูกใจ นายต้องเอื้ออาทรกับลูกน้องให้มาก หากพลทหารเสียชีวิตในบ้าน อย่างน้อยต้องเป็นเจ้าภาพงานศพ ให้เงินช่วยเหลือและแสดงความเสียใจต่อพ่อแม่เขาด้วย

คมชัดลึก 4 พ.ค.52

วันอาทิตย์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

เพื่อความกระจ่าง จงยกตู้คอนเทนเนอร์เเสมสารซะเถอะ อภิสิทธิ์

คุณไม่คิดถึงหัวอกญาติผู้สาบสูญพฤษภาทมิฬเมื่อ 17 ปีก่อนบ้างหรือ

เขารอมาจนถึงวันนี้ 17 ปีพอดีแล้ว ช่วงนี้เป็นช่วงที่เขามีความหวังสูงสุดที่จะได้พบเจอเศศซากที่เคยเป็นของคนที่เขารัก แต่วันนี้คุณหักอกราญใจพวกเขา ประกาศจะไม่ยกตู้คอนเทนเนอร์แสมสาร ออกมาเปิดเผยให้ชาวโลกรู้ เพียงเพราะเกรงจะเสียเงิน 10 ล้านบาทเท่านั้นเหรอ

เงินแค่นี้ แลกกับที่คุณแจกแบบอีลุ่ยฉุ่ยแฉกไปตั้งกี่พันล้านแล้ว ก่อนหน้านี้ มันเหมือนผงธุลี

คุณจะมาคิดเองเออเองว่า ในตู้นั้นไม่ใช่ญาติพวกเขา ผมอยากถามว่าคุณกำลังใช้จิตใจอะไรคิด ใครมันสั่งให้คุณปิดข่าวอยู่หรือเปล่า ผมจำได้ว่าช่วงนั้นข่าวลือมหาศาล อ้างว่าทหารทิ้งศพที่เมืองกาญจน์นับร้อย ใช่ นั่นแค่ข่าวลือ แต่ไอ้ที่ไปขุดพบศพเพื่อนวีรชนในสถานที่ที่ไม่น่าเจอ เช่นวัดดอน เป็นสิบศพล่ะ คุณคิดว่าอย่างไร

ยกคอนเทนเนอร์ออกมาดู นั่นมันสร้างความลำบากแก่คุณมากกระนั้นหรือ

เอาล่ะ สมมติว่าเปิดแล้วไม่ใช่ศพพฤษภาทมิฬอย่างที่คุณว่า ก็ยังเป็นเรื่องที่ควรเปิดอยู่ดี

ทำไมจึงมีกะโหลกมากมายแถวนั้น คุณไม่อยากรู้เหรอว่าศพใคร ไม่อยากทวงความยุติธรรมให้พวกเขาหรือ

อาจจะเป็นศพเวียดนามอพยพ ศพแรงงานเถื่อน หรือศพใคร เอาขึ้นมาเถอะ อาชญากรรมจะได้กระจ่าง คนชั่วไม่ลอยนวล

ที่เกรงว่าจะเป็นสารพิษ คุณจะปล่อยกากพิษนี้ไว้ รอจนวันหนึ่งมันรั่วไหลทำลายท้องทะเลไทยหรือ
คุณไม่อยากรู้หรือว่าชาติใด บริษัทใด ลอบทิ้งขยะพิษไว้ในอ่าวไทย แล้วเอาตัวมันมาลงโทษ หรือว่าคุณพอรู้แล้วว่าเป็นบริษัทของพรรคชั่วชาติร่วมมือนายทุนต่างชาติทำอย่างงี้กับเรา

เอาแค่สองสามเรื่องนี้ คุณก็ต้องหาคำตอบมาให้สังคมให้ได้ ในฐานะผู้มีอำนาจสั่งการสูงสุดของราชการไทย ไม่ใช่หมกปัญหาไว้ใต้พรมไปวัน ๆ เหมือนรัฐบาลที่คนเขาด่ากันทั่วว่าเอะอะก็อ้าง"ไม่ได้รับรายงาน"

วันศุกร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ส.ส.อัดกันนั้นธรรมดา แต่หมั่นใส้พวกที่คิดว่าฝ่ายตนยังไงก็ถูกเสมอ

อาจจะคิดต่างกับคนอื่นเขาหน่อยนะครับ ที่ว่าสภาไทยใกล้จะคล้ายกับสภาหยวนของไต้หวันเข้าไปทุกทีแล้ว เดี๋ยวมีด่ากัน ต่อยกัน จะยำตีนกัน คนส่วนใหญ่เห็นว่าพฤติกรรมนี้เป็นเรื่องเลวทรามต่ำช้า ผมก็ไม่เถียงหรอกครับ มันเลวจริง ๆ แต่ถึงกระนั้นก็ตามมันมีที่มาที่ไป

การจะเอากำปั้นยัดปากคนอื่นนั้นเป็นเรื่องที่ผิด แต่เหตุผลล่ะ ถ้าอีกฝ่ายมันกวนตีนก่อน คนอัดก็มีโมโหได้ ผมจึงว่าน่าเห็นใจเหมือนกัน อย่างกรณีการุณ โหสกุล โดนด่าซะไม่มีดี ไม่มีใครมองเลยว่าคนที่ถูกอัดอย่างสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์นั้นเป็นคนอย่างไร ทำอะไรไว้บ้าง มีโจทก์เยอะขนาดไหน แล้วไปทำอะไรให้การุณฉุน

แล้วคนที่ด่าการุณนี้เอง พอถึง ส.ส.ฝ่ายที่ตนเองมีพฤติกรรมถ่อยจะอัดเขาบ้าง กลับเข้าข้างเต็มที่แล้วยัดข้อหาว่าคู่กรณีเมา ! เอากันง่าย ๆ ไม่มองเลยว่า ข้างที่ตนเชียร์นั้นพยายามจะเสียบบัตรแทนกัน โกงกันเห็น ๆ พอเขาจับได้ ก็จะซัดเขา ทำมามีศักดิ์ศรี ทั้งที่ไอ้ที่ตนพึ่งทำลงไปนั้น มันคือบัดสี

เอาเถอะครับ ใครเข้าข้างใครก็ช่าง เพราะยุคนี้แต่ละคนเลือกข้างเลือกฝ่ายกันหมด แล้วจะสมานฉันท์ให้กิ้งกือดูหรือไง

ดังนั้น ผมถึงว่า อย่าไปว่าที่ปลายเหตุเลยว่าอะไรทำให้เกิดการตีกัน เห็นซะว่าเป็นชายต่อชายก็อัดกันได้ หญิงก็อาจทะเลาะกับหญิงได้ ไม่มีข้อจำกัดอะไร แต่ชายไม่พึงลงมือกับหญิงอย่างเด็ดขาด เพราะไม่ใช่วิสัยชาย กระนั้นก็ตาม หากหญิงผิดจริง อย่างเช่นการนำคนนอกเข้าสภา แล้วเขาจับได้ไล่จี้ให้รับผิด ก็อย่าหาว่าชายรังแกหญิง เพราะนิสัยคนหน้าด้านนั้นไม่ได้ผูกขาดเฉพาะผู้ชายเท่านั้นหรอกครับ

วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

พาณิชย์คิดอย่างมาเฟีย

ไม่รู้จะสงสารหรือสมเพชดี ที่นักการเมืองอยากเอาหน้ากับฝรั่งได้นำตนเองเข้าไปอยู่ในระดับเดียวกับแก๊งค์ไล่ที่หฤโหด ไม่ว่าจะเป็นแก๊งค์ไล่ที่สวนลุม ไล่ที่จตุจักรและคลองเตย แม้ว่าจะอ้างขุ่น ๆ แบบตู้ ๆ ว่าทำตามกฏหมาย แต่ใครก็รู้ว่าหลักการของคนพรรคนี้คือ ถ้า "ถูกใจ ก็ถูกกฏ แต่ถ้าไม่ถูกใจ ก็เปิดกฏ (ฉันจะเล่นงานแก)"

อุทธาหรณ์ไล่จับของละเมิดลิขสิทธิ์ทางปัญญามีดังนี้

1.ชาวบ้านที่หากินโดยผิดกฏหมายหน้าด้าน ๆ นั้นมีเยอะด้วย ฝังรากลึกและมีพลัง มาเฟียที่ยืนข้างพวกเขาก็มี

2.ปกติแล้วการจัดการกับของผิดกฏหมายเหล่านี้ วิธีที่ใช้กันยาวนานคือ "ไม่จับ" อาจมีการจับเอาใจผู้ใหญ่หรือเอาโล่บ้าง ก็ไม่มากนัก ความผิดพวกนี้ในสายตาตำรวจหรือเทศกิจคือ VICE หรือความผิดเล็กน้อย ส่วยที่เหมาะสมนั้นทำให้ธุรกิจประเภทนี้แฮปปี้ทุกฝ่าย คนรีดได้ตังค์ คนขายรวย คนซื้อได้ของถูก ตรมอยู่ฝ่ายเดียวคอเจ้าของลิขสิทธิ์ (บางคนกลับสมน้ำหน้าว่าดันขายแพงเกินงามนี่นา)

3.ถึงฝ่ายละเมิดลิขสิทธิ์จะผิด แต่การใช้ความรุนแรงเข้าไล่เข้าจับดื้อ ๆ นั้นถูกสังคมมองว่าเป็นการแสดงอำนาจป่าเถื่อน ไม่เชื่อลองนิยามชื่อพวกเสธ. เหี้ยม ๆ หรือบริษัท รปภ.รับทวงหนี้สิครับ แล้วฟังซิว่าคนมีทัศนะคติยังไงกับเขาเหล่านั้น

4.วัฒนธรรมการไม่ผ่อนปรน เห็นคนคิดต่างเป็นศัตรู จะเอาชนะย่ำยีให้ได้ นั้นเป็นเทรนด์ของสังคมไทย เป็นมาได้ 3-4 ปีแล้ว คนเริ่มคนแรกก็ต้องยกเครดิตให้อีตาสนธิ เจ้าพ่อสื่อเสื้อเหลืองเขาล่ะ นึกจะด่าว่าใคร จริงหรือไม่ ฉันไม่สน ด่าเขาอย่างไม่มีหูรูด ไม่กลัวหมิ่นประมาท เพราะกว่าจะโดนฟ้องโดนตัดสิน คนถูกด่าระบมตายซะก่อนแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ คนที่มีแบ๊คและไม่มีแบ๊ค ก็ต่างออกมาด่ากัน กลายเป็นความเกลียดฟุ้งทั่วประเทศ หนักเข้าก็ขยายจากทางวาจาเป็นทางกายภาพ นึกจะทำอะไรศัตรูก็ทำ คิดแค่ว่า มันเลว ฉันจึงมีสิทธิกระทืบมัน สังคมนี้ก็เอวัง

5.พรรคประชาธิปัตย์ยังไง๊ยังไงก็ต้องเกรงใจนายฝรั่ง ฝรั่งต้องการอย่างไร ถ้าประเคนให้ได้ก็ประเคนให้หมด นึกถึงกระทรวงพาณิชย์ยุคชวน 2 จริง ๆ แล้วฝรั่งก็ไม่ใช่นักบุญอะไร เมื่อเขามาทำสัญญากับประเทศที่กำลังเสื่อมโทรมทางเศรษฐกิจ เขาก็หาทางเอาเปรียบหรืออย่างน้อยก็ตักตวงประโยชน์สูงสุดในตนเอง จึงมีการหาข้อผูกมัดให้ไทยต้องทำโน่นนี่เพื่อเขามากมาย ไอ้ตัวแทนของเราก็ต้องทำตามเพราะนึกว่าฝรั่งมันจะช่วยประเทศได้ หรือถึงจะช่วยไม่ได้ อย่างน้อยก็ช่วยแบ่งเค้กให้พรรคพวกกันเองนี่แหละได้ ฮาฮา ตัวอย่างมีอยู่กรณี ปรส.

วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2552

ความจงรักภักดี ไม่ได้มาด้วยการเกณฑ์

การเกณฑ์ชาวบ้านจากท้องถิ่นเข้ามาแออัดลำบากในเมืองกรุงนั้นไม่ใช่ความจงรักภักดีแท้ แต่ยิ่งเป็นการสร้างกระแสต่อต้านมุมกลับอย่างน่ากลัว ไม่แน่ใจว่าแท้จริงพวกที่อ้างว่าจงรักภักดีแบบนี้คิดอะไรในใจกันแน่

วันฉัตรมงคล วันบรมราชาภิเษกในหลวง เป็นวันที่เราควรแสดงความจงรักภักดีต่อพระองค์ ผมสนับสนุนคนที่ออกไปงานตามการจัดของหน่วยงานราชการและเอกชนในที่ต่าง ๆ แต่ขอให้ไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ใช่ไปเพราะถูกบังคับ ไปเพราะได้บางสิ่งบางอย่าง หรือมีมหรสพดู คนที่ไม่ไป ก็โปรดสวดมนต์ให้ในหลวงอยู่ที่บ้าน เหมือนกับผม เท่านี้ก็เชื่อว่าตนเองจะมีความจงรักภักดีไม่เป็นรองหรืออาจมากกว่าไอ้พวกสอพลอ มีผลประโยชน์แอบแฝง

คนไทยเกือบทุกคนจงรักภักดีและซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณจากส่วนลึกของจิตใจอยู่แล้ว และยิ่งมากขึ้นเมื่อกลางปี 49 ที่คนมหาศาลมาชุมนุมถวายพระพรครบ 60 ปีครองราชย์โดยไม่ต้องเกณฑ์ วันนั้นในหลวงและพระเทพทรงปิติยินดียิ่ง ใคร ๆ ก็จดจำภาพนั้นไว้ คนยากคนจนได้ร่วมชื่นชมบารมีอย่างใกล้ชิด เหมือนสมัยก่อนที่เข้าถึงรับหรือถวายของต่าง ๆ แทบเบื้องพระบาท แต่ปลายปีเดียวกันนั้นเอง พวกปฏิวัติจัดงานคล้าย ๆ กัน แต่กลับกีดกันประชาชนออกไป ที่เฝ้าแหนออกทีวีมีแต่ข้าราชการ บรรยากาศมันเลยแข็งทื่อและ fake สุด ๆ

นึกถึงเมื่อก่อน ที่พวกข้าราชการผู้ใหญ่ชอบเกณฑ์เด็กนักเรียนตัวน้อย ๆ ไปยืนตั้งแถวคอยขบวนครึ่งค่อนวัน มันทำร้ายร่างกายจิตใจเด็กขนาดไหน นึกว่าจะมีใครปลื้มเหรอ คิดว่าเขาไม่รู้เหรอว่านั่นเป็นการเอาหน้า เอาความชอบเข้าตัว เอาความทุกข์ให้คนอื่น เรื่องแบบนี้ไม่เลิกซะที ไม่ว่าจะเป็นการบังคับขายบัตรโน่น ซื้อของนี่ ชาวบ้านเดือดร้อนทั้งนั้น

ท้ายนี้ ขอยกย่องคนจงรักภักดีด้วยใจจริงทุกคนอีกที ไม่ต้องป่าวประกาศ ไม่ต้องประโคมโหมตนเองแล้วไปเหยียบย่ำดูถูกคนอื่นว่าจงรักภักดีน้อยกว่าตน ไม่หาประโยชน์โภคผลจากสินค้าหรือภาพลักษณ์ของราชวงศ์ และไม่ทำร้ายประเทศชาติในยามที่เศรษฐกิจแย่ขนาดนี้