วันพุธที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2552

ชาติไทยนั้นเคยใหญ่ในบูรพา

ไม่ต้องอาศัยความคิดชาตินิยมก็สามารถรับรู้ข้อเท็จจริงในอดีตได้ว่า ชาติไทยสมัยที่ยังไม่เป็นรัฐชาติ หรือแม้แต่เป็นรัฐชาติแล้วจนถึงยุคเริ่มต้นสมาคมประชาชาติอาเซียนนั้นยิ่งใหญ่ไม่น้อยหน้าใครในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ในวันที่ความยิ่งใหญ่นี้ลดทอนลงไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นชาติที่ต้องกู้เงินมาพยุงตนเองให้สามารถแข่งขันกับบรรดาชาติที่เมื่อไม่นานมานี้ ความเจริญยังอยู่ห่างเราหลายสิบขวบปีแล้ว ยังมีทางหรือไม่ที่ชาติไทยจะกลับคืนสู่ความเกรียงไกรเหมือนเดิม หรือว่าในโลกยุคทศวรรษที่ 2 ของมิลเลนเนียมนี้ เราจะยิ่งกระเถิบไกลออกไปปลายนาหมู่บ้านโลก ออกไปเรื่อยๆ

มีสิครับ อย่าพึ่งหมดหวัง

อย่าพึ่งลืมว่าวันที่ไทยเป็นคู่แข่งกับญี่ปุ่นในการนำสิ่งใหม่ๆ เข้าสู่ประเทศ อาทิเช่น โทรเลข ไฟฟ้า ไปรษณีย์ หรือแม้แต่ทีวี และอื่นๆ นั้น ห่างจากวันนี้มิได้นานนัก ไทยเคยรบชนะฝรั่งเศสมาแล้ว ทั้งยังเคยประกาศสงครามกับอเมริกาและอังกฤษ โดยไม่แพ้เสียด้วย ความภูมิใจในเรื่องเหล่านี้ แม้จะเจื่อนๆ ไปบ้าง เมื่อเห็นวัยรุ่นสมัยนี้นิยมวัฒนธรรมของประเทศที่เคยขอให้ไทยช่วยปกปักอธิปไตยให้ แค่วันนี้เขาไปไกลกว่าเราโข เรากลายเป็นผู้ไล่ตามอดีตประเทศที่เคยตกเป็นอาณานิคมหลายประเทศชนิดที่ห่างออกไปเรื่อยๆ จะอ้างว่าเขาเก่งหรือเราอ่อนนั้นก็แล้วแต่จะมองมุมไหน กระนั้นก็ตาม ในเมื่อไทยเคยยิ่งใหญ่ในบูรพาทิศ เราก็น่าจะกลับไปสู่ความยิ่งใหญ่เช่นนั้นได้ แม้ว่าจะมีข้อจำกัดมากมาย

ประการแรก คือ คนในชาติต้องเชื่อมั่นก่อนว่าตัวเองทำได้ หลวงวิจิตรวาทการเคยจำแนกคนช่างฝันออกเป็น 2 พวก คือ พวกฝันบ้า อาทิเช่น อยากถูกหวยนั่นรวยนี่ โดยไม่ทำอะไรให้ตัวเองหรือใครๆ เข้าใจได้ว่านั่นคือวิถีที่จะไปสู่ฝันได้จริง (ไม่ได้หมายว่าทุ่มเทเล่นพนันหนักๆ จะเป็นการปูทางสู่ฝันแบบนี้นะ) กับพวกที่ฝันแล้วมีการวางแผน ดำเนินการอย่างค่อยเป็นค่อยไป สมเหตุสมผล มุ่งมั่นโดยไม่ย่อท้อ ผ่านจุดพลิกผันของขั้นบันไดความฝันไปทีละขั้น คนไทยทุกคนควรมีความเชื่อมั่นเช่นนี้ โดยเฉพาะผู้มีอำนาจกำหนดชะตากรรมของประเทศ ถ้ามัวแต่ห่วงข้อจำกัดมากเกินไปกว่าการคิดเชิงบวกถึงโอกาส ก็น่าเสียดายยิ่ง

ต่อมาคือ การวางมหายุทธศาสตร์ระดับสากล ไม่ใช่จำกัดอยู่แค่วางแผนเอาตัวรอดระยะสั้น ในเมื่อเราเชื่อมั่นว่าเราสามารถเป็นผู้นำชาติเอเชียได้ ก็ไม่ต้องเกรงว่าหากฝันสลายแล้วเราจะหล่นลงถึงขนาดเป็นแค่ชาติเล็กก็เอาตัวรอดไม่ได้ ปัจจัยหลายประการที่คิดว่าเป็นปัญหานั้นไม่เป็นปัญหาอย่างที่เคยกลัว การที่จีนกับอินเดียมีความทะเยอทะยานจะเป็นมหาอำนาจของโลกนั้น ไม่ใช่ว่าเขามีคนฉลาดมากหรือศักยภาพของพลังการผลิตมาก เพราะถ้าเขาวางแผนไม่ดี ข้อได้เปรียบนี้ก็จะไม่เอื้อประโยชน์ แต่ถ้าเขาวางแผนดี ถึงปราศจากความได้เปรียบในประเด็นนี้ ก็สามารถเกื้อกูลกับความได้เปรียบในประเด็นอื่นอยู่ดี อาทิเช่น ไทยมีจุดเด่นด้านความยืดหยุ่น อดกลั้นและรักสันติ ลักษณาการเช่นนี้น่าจะเอื้อต่อการเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ย (mediator) ระหว่างประเทศได้

เมื่อไม่นานมานี้ ในช่วงที่เราดูเหมือนจะกลับสู่แทรคของการเป็นหนึ่งในผู้นำเอเชีย ไทยเคยรับบทเป็นเจ้าภาพการแก้ปัญหานาคาแลนด์กับอินเดีย และทมิฬกับศรีลังกาในไทย การให้สถานที่ประชุมนั้นเป็นการแสดงให้เห็นถึงความตระหนักในความเกี่ยวพันที่ประเทศมีต่อสันติภาพโลก โดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ทางตรง และเป็นสิ่งที่ทำให้สถานภาพของประเทศดูสูงขึ้น นอกจากนี้ การกระทำดังกล่าวจะเป็นการปูทางก้าวขึ้นไปสู่ขั้นต่อไป อาทิเช่น การเป็นผู้นำในการแก้ไขปัญหาต่างๆ อนึ่ง เราต้องไม่คิดในแง่ที่ว่า ประเทศเราก็มีปัญหาภายในยุ่งอยู่แล้ว เรากำลังจะไปแทรกแซงเรื่องของชาวบ้านล่ะดีหรือ เพราะการกระทำที่ถูกต้องเหมาะสมนั้นจำเป็นต้องขึ้นอยู่กับชั้นเชิงของรัฐบาลประกอบกับกาลเทศะ ทุกวันนี้ สิงคโปร์ และมาเลเซีย ก็กำลังดำเนินบทบาทเช่นนี้ในหลายกรณี

น้ำหนักของประเทศในการเป็นผู้นำชาติภูมิภาคนั้น ขึ้นอยู่กับการวางตัวของรัฐบาล ตลอดจนกลไก องคาพยพที่เกื้อหนุนรัฐนั้นต้องน่าเชื่อถือในสายตานานาชาติ วิสัยทัศน์ที่กว้างไกลแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจในสิ่งที่ไทยสามารถจะมอบให้แก่โลกได้ หรือการที่ไทยจะเป็นตัวกลางในการนำพาประเทศอื่นๆ แก้ไขวิกฤติร่วมได้ด้วยแนวทางใดแนวทางหนึ่งนั้น เป็นสิ่งที่ยกระดับภาพลักษณ์เราได้ ระบบการบริหารงานที่โปร่งใส ปลอดจากทุจริตคอร์รัปชันนั้นสามารถเกิดขึ้นได้จริง ถ้ายึดหลักประชาธิปไตยและความสามารถของบุคคลในการเข้าสู่ตำแหน่งสำคัญ โดยลดลงเสียบ้างในเรื่องของระบบอุปถัมภ์ การตรวจสอบแบบทวิมาตรฐาน การใส่ร้ายป้ายสีและเอาดีเข้าตัวเอาชั่วเข้าคนอื่น

นอกเหนือจากการแสดงความร่วมมือกับนานาชาติอย่างเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันอื่นๆ อาทิเช่น ส่งทหารเข้าร่วมรักษาสันติภาพนานาชาติ และการเป็นผู้นำในบางเรื่อง อาทิเช่น ด้านอาหาร หรือด้านกองทุนการเงินแล้ว ยังมีการพัฒนาตนเองด้านอื่นให้ดูเป็นอารยะ โดยเฉพาะด้านวัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม สิทธิมนุษยชน การป้องกันประเทศ และกฎหมาย

ทั้งหมดนี้ อาจต้องใช้เงินบ้าง แต่ไม่มากเท่ากับกึ๋นและความกล้าหาญในการมุ่งไปสู่การปฏิบัติได้จริง ต้องเตือนใจไว้ตลอดเวลาว่าประเทศไทยควรได้อยู่ในจุดที่เคยเป็นและควรเป็น ไม่ใช่ว่าความเรืองรองเหล่านั้นเป็นเพียงอดีตที่ไม่มีวันหวนกลับ หากเราไม่หวังสูงไว้ก่อน เราก็คงต้องแข่งกับความต่ำลงไปเรื่อยๆ แล้วมันจะดีกว่าหวังสูงตรงไหน

เอกสารตีพิมพ์ น.ส.พ.กรุงเทพธุรกิจ 12 กุมภาพันธ์ 2552

2 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ18/3/52 22:39

    สวัสดีครับ คุณโจ้

    เห็นด้วยครับ...

    "ไม่ต้องอาศัยความคิดชาตินิยมก็สามารถรับรู้ข้อเท็จจริงในอดีตได้ว่า ชาติไทยสมัยที่ยังไม่เป็นรัฐชาติ หรือแม้แต่เป็นรัฐชาติแล้วจนถึงยุคเริ่มต้นสมาคมประชาชาติอาเซียนนั้นยิ่งใหญ่ไม่น้อยหน้าใครในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก"

    "น้ำหนักของประเทศในการเป็นผู้นำชาติภูมิภาคนั้น ขึ้นอยู่กับการวางตัวของรัฐบาล ตลอดจนกลไก องคาพยพที่เกื้อหนุนรัฐนั้นต้องน่าเชื่อถือในสายตานานาชาติ"

    ผมเองครับ....
    http://www.oknation.net/blog/pimahn/2009/02/04/entry-1

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ21/3/52 00:53

    สวัสดีค่ะคุณโจ้...ทำไมห่างเหินบล็อกโอเคไปนานจังคะ..."น้องเรือรัก" โตขึ้นเยอะยังคะ...คิดถึงหลานค่ะ

    ระลึกถึง
    จาก..ครูทิพย์

    ตอบลบ