วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

อย่ายอมให้ฮุน เซ็น ข่มขู่

เมื่อ 5 ตุลาคม ก่อนเกิดกรณีทักษิณเป็นที่ปรึกษาเขมร และก่อนเกิดกรณีวิวาทะอภิสิทธิ์-ฮุนเซ็น ที่ภูเก็ต ผมเขียนบทความลงคมชัดลึก ให้รัฐบาลที่หงอกัมพูชาเหลือเกิน อย่ายอมให้ฮุน เซ็น ข่มขู่ เวลานี้รัฐบาลไม่หงอแล้ว แต่ใช้เหตุผลแข็งต่อกัมพูชาได้ผิดฝาผิดตัวเหลือเกิน ซึ่งเป็นเหตุผลที่ไม่ได้แก้ปัญหาความมั่นคงระหว่างสองชาติ แถมยังเป็นชนวนวุ่นวายระหว่างสีในกรุงเทพเสียอีก

บทความที่ผมเขียนตอนนั้นว่ารัฐบาลควรทำอย่างไร ขอลงให้อ่านครับ


อย่ายอมให้ฮุนเซ็นข่มขู่




ใครที่เป็นคนไทย ได้อ่านบทความของ นสพ.รัศมีอังกอร์ และสื่ออื่นๆ ที่นำคำพูดของ ฮุน เซน ผู้เรืองอำนาจสูงสุดแห่งกัมพูชาแล้วก็คงรู้สึกเจ็บร้อนแทนชาติของเราทั้งนั้น นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เขมร ชาติลูกไล่ของไทยในอดีต


แสดงอาการไม่เห็นหัวเพื่อนบ้านแห่งนี้ นอกเหนือจากการอดกลั้น เราน่าจะทำการตอบโต้กัมพูชาบ้าง เพื่อไม่ให้ความเสื่อมศรัทธาในผู้มีอำนาจตัดสินใจของฝ่ายไทยและสิ้นขวัญกำลังใจในหมู่พวกเรากันเองจะขยายกว้างออกไปกว่านี้


ในความเป็นจริง สิ่งที่ ฮุน เซน พูดนั้นก็มีเหตุผลอยู่หลายประเด็น โดยเฉพาะการที่ฝ่ายไทยเองเอาประเด็นเรื่องเขาพระวิหารไปเป็นเครื่องมือเล่นงานทางการเมืองภายในประเทศ จนพันมาถึงเขมรด้วย แต่ขณะเดียวกัน เขมรก็อาศัยปรากฏการณ์นี้ขยายฮุบดินแดนที่ไทยมัวแต่อ้างว่าเป็นพื้นที่ทับซ้อน


หากสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้ คือ ไทยมัวนิ่งเฉย ไม่รู้จะทำยังไงดี เขมรก็จะรุกคืบครอบครองจุดยุทธศาสตร์ชายแดนได้หมด เกียรติภูมิฝ่ายไทยที่ด้อยลงจะยิ่งเร่งให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งภายในประเทศขึ้นอีก เวลานี้ก็เห็นแล้ว ว่าบางกลุ่มก็ไม่พอใจทางการที่ไม่ตอบโต้เขมรเสียที บางกลุ่มก็ไม่พอใจพวกกลุ่มแรกที่เหมือนกับจะกระตุ้นภาวะคลั่งชาติ ในเมื่อไร้สามัคคีอย่างนี้ ไม่มีทางแก้ปัญหาอะไรได้


รัฐในฐานะผู้ที่มีภาระโดยหน้าที่ให้แก้ไขปัญหานี้ควรทบทวนนโยบายกับฮุน เซน เสียใหม่ จริงอยู่ การเจรจาโดยสันติ ไม่ใช้กำลัง ผ่อนปรนเข้าหากันนั้นเป็นสิ่งที่ต้องดำเนินต่อไป แต่ต้องหยุดความกร่างของฮุน เซน เสียบ้าง แนวคิดนี้คนข้างตัวนายกฯ เอง สมัยที่เป็นนักวิชาการก็คิดว่าต้องหยุดฮุน เซนเสียก่อนที่จะได้ใจแล้วไปไกลกว่าเหมือนกัน


ประการแรก คือ เลิกประจบในเรื่องที่ไม่จำเป็น เช่น การส่งคืนโบราณวัตถุหรือให้เงินกู้สร้างถนน สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งควรทำในยามปกติ แต่ในภาวะอย่างนี้มีแต่จะทำให้เกิดการได้คืบจะเอาศอก ทำให้ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกฮึกเหิมว่าตนเหนือกว่า ขณะที่ฝ่ายเดียวกันมองดูตนเองว่าอ่อนแอ


ประการต่อมา คือ ต้องตอบโต้ด้วยคำพูดแรงๆ ใส่กัมพูชาบ้าง อย่าไปกลัวว่าสิ่งนี้จะนำไปสู่สงคราม ข้อดีของการทูตโทรโข่งก็คือ ในเมื่อต่างฝ่ายต่างตระหนักว่าอีกฝ่ายก็ไม่ยอมเป็นเบี้ยล่าง การกระทำใดๆ ที่ไม่เหมาะควรก็จะไม่ผลีผลาม ทั้งยังเป็นการกระตุ้นขวัญกำลังใจฝ่ายเรา เราต้องแสดงว่าไม่กลัวกัมพูชา คุยกันในเวทีไหนก็ได้ ไทยเรายังมีมิตรในประชาคมโลกมากกว่าประเทศนี้ หรือไม่จริง และถ้าเป็นไปได้ ก็หาทางล้มเลิกบันทึกความเข้าใจร่วมปี 43 เสียด้วย

1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ17/11/52 16:19

    แน่จริงอปิ๊สิดก็ลุยเลยซิ ไม่งั้นก็ให้กสัตว์ออกหน้าถือธงนำ

    ตอบลบ